หน้าแรก บล็อก

ระบบ DCS (Distributed Control System) ในโรงงานอุตสาหกรรม

0
ระบบ DCS (Distributed Control System) ในโรงงานอุตสาหกรรม
ระบบ DCS (Distributed Control System) ในโรงงานอุตสาหกรรม

ระบบ DCS หรือ Distributed Control System เป็นระบบควบคุมที่มีความสำคัญต่อกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ด้วยความสามารถในการกระจายการควบคุมและการตรวจสอบระบบที่มีหลายหน่วยย่อย DCS ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ความเสถียร และความปลอดภัยในกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน เช่น อุตสาหกรรมเคมี ปิโตรเลียม และพลังงาน

องค์ประกอบของระบบ DCS

องค์ประกอบของ DCS อาจแตกต่างกันบ้างในแต่ละยี่ห้อ ซึ่งในแต่ละยี่ห้อจะมีจุดเด่นและมีเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่ในภาพรวมโดยหลักๆแล้ว DCS จะมีองค์ประกอบสำคัญๆที่ไม่แตกต่างกันมาก ซึ่งจะมีองค์ประกอบดังนี้ครับ

  1. Field Control Station
    • หน่วยควบคุมที่ติดตั้งในพื้นที่ของกระบวนการผลิต
รูปแสดงถึงระบบตู้ Field control station
  1. Human-Machine Interface (HMI)
    • ส่วนติดต่อระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร
    • ใช้สำหรับการตรวจสอบและควบคุมกระบวนการผ่านหน้าจอแสดงผล เช่น การตรวจดูสถานะของระบบ หรือการตั้งค่าพารามิเตอร์ต่างๆ
รูปแสดงถึงระบบ Human Machine Interface
  1. Field Instrumentation
    • อุปกรณ์ที่ใช้วัดและตรวจสอบค่าต่างๆ ในกระบวนการ เช่น อุณหภูมิ ความดัน อัตราการไหล และระดับ
    • ส่งข้อมูลไปยัง Field Control Station เพื่อการประมวลผล
รูปแสดงถึงตัวอย่าง Field Instrumentation
  1. Communication Network
    • ระบบเครือข่ายที่เชื่อมต่อส่วนประกอบต่างๆ ของ DCS
    • ใช้โปรโตคอลการสื่อสารเฉพาะ เช่น Modbus, Profibus, หรือ Ethernet
รูปแสดงถึงระบบ Communication network ซึ่งใช้ระบบ LAN
  1. Engineering Workstation
    • ใช้สำหรับการออกแบบและเขียนโปรแกรมระบบควบคุมและช่วยในการกำหนดลอจิกควบคุม การตั้งค่าพารามิเตอร์ และการบำรุงรักษา

BANNER SEUS ENGINEERINGBANNER SEUS ENGINEERING

หลักการทำงานของ DCS

1. การกระจายการควบคุม

    ระบบ DCS จะแบ่งการควบคุมออกเป็นหลายหน่วยย่อย (Control Station) ซึ่งแต่ละหน่วยสามารถทำงานอย่างอิสระ

    2. การทำงานแบบเรียลไทม์

    ช่วยให้กระบวนการผลิตดำเนินไปอย่างราบรื่นและลดเวลาในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน

    3. ความปลอดภัย

    DCS มีฟังก์ชันการตรวจสอบและการป้องกันที่ช่วยลดความเสี่ยงจากความผิดพลาดในกระบวนการผลิต

    4. ความเสถียร

    การกระจายการควบคุมช่วยลดผลกระทบหากเกิดปัญหากับหน่วยควบคุมใดหน่วยหนึ่ง

    5. ลดภาระงานของผู้ปฏิบัติงาน

    ด้วยระบบอัตโนมัติที่สามารถตรวจสอบและควบคุมกระบวนการได้เอง ผู้ปฏิบัติงานสามารถมุ่งเน้นไปที่การวางแผนและการปรับปรุงกระบวนการ

    BANNER SEUS ENGINEERINGBANNER SEUS ENGINEERING

    การเลือกใช้งาน DCS

    1. ลักษณะของกระบวนการผลิต DCS เหมาะสำหรับกระบวนการที่มีความต่อเนื่อง 24/7 เช่น อุตสาหกรรมเคมีและพลังงาน
    2. ความซับซ้อนของระบบ หากกระบวนการมีหลายขั้นตอนและต้องการควบคุมแบบเรียลไทม์ ควรเลือก DCS
    3. ความเสถียร ระบบ DCS มีความเสถียรค่อนข้างสูงซึ่งหากมีงาน Modify ต่างๆเพิ่มเติมอาจรบกวนระบบที่กำลังทำงานอยู่น้อยมาก
    4. งบประมาณ DCS จะมีต้นทุนสูงกว่า PLC เพราะฉะนั้นในบางโครงการ อาจต้องพิจารณา Input / Output point ให้เหมาะสม และรองรับการขยายเพิ่มเติมในอนาคต

      สรุป

      ระบบ DCS เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยในกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนในโรงงานอุตสาหกรรม ด้วยความสามารถในการกระจายการควบคุมและการประมวลผลแบบเรียลไทม์ DCS ช่วยลดความเสี่ยง เพิ่มความยืดหยุ่น และรองรับการขยายระบบในอนาคต แม้ต้นทุนเริ่มต้นจะสูง แต่ประโยชน์ที่ได้รับในระยะยาวทำให้ DCS เป็นทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับโรงงานที่ต้องการความมั่นคงและความต่อเนื่องในการดำเนินงาน

      TIE IN โฆษณาให้ทาง SEUS ENGINEERING

      แล้วพบกับสาระดีๆแบบนี้ทางด้านงานช่าง งานวิศวกรรม และอุตสาหกรรมได้ที่ นายช่างมาแชร์ นะครับ

      Website: www.naichangmashare.com
      Facebook: https://www.facebook.com/naichangmashare/
      Blockdit :  https://www.blockdit.com/naichangmashare
      Instragram: https://www.instagram.com/naichangmashare/
      Twitter: https://twitter.com/naichangmashare
      Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCmIPiSeg-uy4k8JYSmknp_g

      #นายช่างมาแชร์ 

      ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ Loop Diagram ในระบบควบคุมและเครื่องมือวัด

      0
      ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ Loop Diagram ในระบบควบคุมและเครื่องมือวัด
      ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ Loop Diagram ในระบบควบคุมและเครื่องมือวัด

      Loop Diagram เป็นเอกสารสำคัญในระบบควบคุมและเครื่องมือวัด (Instrumentation and Control System) ที่ใช้ในการแสดงรายละเอียดของวงจรควบคุมหรือการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เช่น ตัวส่งสัญญาณ (Transmitter), ตัวควบคุม (Controller), และตัวขับเคลื่อน (Actuator) ซึ่งเอกสารนี้ช่วยให้วิศวกรและช่างเทคนิคเข้าใจโครงสร้างการเชื่อมต่อของอุปกรณ์ในระบบได้อย่างชัดเจนและง่ายต่อการบำรุงรักษาหรือแก้ไขปัญหาในภายหลัง

      องค์ประกอบสำคัญของ Loop Diagram

      1. Tag number

      ระบุหมายเลขหรือชื่อเฉพาะของอุปกรณ์ เช่น PT-101 (Pressure Transmitter) หรือ FT-202 (Flow Transmitter) และช่วยในการอ้างอิง, ตรวจสอบตำแหน่งของอุปกรณ์ในระบบ ถ้าเปรียบเทียบกับคนก็คือชื่อและนามสกุลนั่นเอง

      2.Wiring Connection

      แสดงรายละเอียดการเชื่อมต่อสายไฟระหว่างอุปกรณ์ เช่น สัญญาณ 4-20 mA หรือสัญญาณแรงดัน และระบุชนิดของสายไฟ เช่น Shielded Cable หรือ Twisted Pair Cable ถ้าเปรียบเทียบกับสิ่งที่ใช้ในชีวิตประจำวันก็เสมือนกับแผนที่ที่บ่งบอกถึงจุดสำคัญๆและถนนในการเดินทาง

      3. Power Supply

      แสดงแหล่งจ่ายพลังงานที่ใช้กับอุปกรณ์ เช่น 24 VDC หรือ 230 VAC ซึ่งบางอุปกรณ์ต้องอาศัยแหล่งจ่ายพลังงานเพิ่มเติมนอกเหนือจากพลังงานจาก Card เพียงอย่างเดียว ซึ่งบางอุปกรณ์กินพลังงานมาก เช่น Analyzer บางชนิด , อุปกรณ์ 4 wire เป็นต้น

      4. Terminal Details

      แสดงหมายเลขของ Terminal Block ที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ในแผงควบคุม (Control Panel) ซึ่งเมื่อไรที่มีสายไฟ ก็ต้องมีจุดเชื่อมต่อซึ่งในโรงงานอุตสาหกรรมจะมี terminal จำนวนมาก ซึ่ง Loop drawing ที่ดีจะต้องระบุถึงตำแหน่งของจุดเชื่อมต่อหรือจุดเข้าสายไฟ สายสัญญาณให้ชัดเจน

      5. Grounding

      แสดงการเชื่อมต่อสายดิน (Grounding) เพื่อป้องกันปัญหาทางไฟฟ้า เช่น ไฟฟ้ารั่วหรือสัญญาณรบกวน

      รูปแสดงถึงตัวอย่าง Loop drawing diagram

      BANNER SEUS ENGINEERINGBANNER SEUS ENGINEERING

      การออกแบบ Loop Diagram

      1. รวบรวมข้อมูลพื้นฐาน
        • เก็บข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์ทั้งหมดในระบบ เช่น Tag Number, ชนิดของสัญญาณ, และแหล่งจ่ายพลังงาน
        • ตรวจสอบความเข้ากันได้ของอุปกรณ์ เช่น ความต้านทานของสายไฟ และชนิดของ Terminal
      2. การจัดวางโครงสร้าง
        • แสดงการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ในรูปแบบที่อ่านง่าย
        • ใช้สัญลักษณ์มาตรฐาน เช่น ISA S5.1 หรือ IEC 60617 เพื่อให้เป็นที่เข้าใจร่วมกัน
      3. การตรวจสอบความถูกต้อง
        • ตรวจสอบว่า Loop Diagram มีความสอดคล้องกับ P&ID (Piping and Instrumentation Diagram)
        • ทดสอบการเชื่อมต่อทางไฟฟ้าและการไหลของสัญญาณ

      ความท้าทายในการจัดทำ Loop Diagram

      1. ความซับซ้อนของระบบ
        • ในโรงงานขนาดใหญ่ที่มีอุปกรณ์หลายพันตัว การสร้าง Loop Diagram อาจใช้เวลามาก
      2. การอัปเดตเอกสาร
        • การปรับปรุงระบบหรือการเปลี่ยนอุปกรณ์ต้องมีการอัปเดต Loop Diagram เพื่อให้ข้อมูลยังคงถูกต้อง
      3. ข้อผิดพลาดในการออกแบบ
        • ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนหรือผิดพลาดอาจทำให้การติดตั้งและบำรุงรักษาเกิดปัญหา

      BANNER SEUS ENGINEERINGBANNER SEUS ENGINEERING

      สรุป

      Loop Diagram เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ระบบควบคุมและเครื่องมือวัดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เอกสารนี้ช่วยเพิ่มความสะดวกในการติดตั้ง บำรุงรักษา และปรับปรุงระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ การออกแบบ Loop Diagram ที่ดีควรให้ข้อมูลที่ครบถ้วน ถูกต้อง และเป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อให้วิศวกรและช่างเทคนิคสามารถใช้งานได้อย่างมั่นใจและลดความผิดพลาดในการทำงาน อีกครั้งที่แอดอยากเสริม แบบที่ดีคือแบบที่ update และถูกต้องครับ หวังว่าทุกท่านเมื่อทำการแก้ไขสิ่งใดแล้ว กลับมาแก้ไขเอกสารให้ถูกต้องเป็นปัจจุบันที่สุดด้วยครับ

      TIE IN โฆษณาให้ทาง SEUS ENGINEERING

      แล้วพบกับสาระดีๆแบบนี้ทางด้านงานช่าง งานวิศวกรรม และอุตสาหกรรมได้ที่ นายช่างมาแชร์ นะครับ

      Website: www.naichangmashare.com
      Facebook: https://www.facebook.com/naichangmashare/
      Blockdit :  https://www.blockdit.com/naichangmashare
      Instragram: https://www.instagram.com/naichangmashare/
      Twitter: https://twitter.com/naichangmashare
      Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCmIPiSeg-uy4k8JYSmknp_g

      #นายช่างมาแชร์ 

      ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ Motor Control Center (MCC)

      0
      ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ Motor Control Center (MCC)

      Motor Control Center (MCC) เป็นระบบที่ใช้ในการควบคุมมอเตอร์ไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรมหรืออาคารขนาดใหญ่ โดย MCC ทำหน้าที่รวมวงจรควบคุมและป้องกันสำหรับมอเตอร์หลายตัวไว้ในตู้เดียว เพื่อให้การจัดการและการบำรุงรักษาทำได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดความซับซ้อนของระบบไฟฟ้า เพิ่มความปลอดภัย และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของมอเตอร์

      องค์ประกอบสำคัญของ Motor Control Center

      1. Starter Units
        • ประกอบด้วยอุปกรณ์ควบคุมที่ใช้ในการเปิดและปิดมอเตอร์ เช่น Magnetic Contactor และ Overload Relay
        • แบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก: Direct-On-Line (DOL) และ Star-Delta Starter ขึ้นอยู่กับขนาดและความต้องการของมอเตอร์
      1. Circuit Breakers
        • ทำหน้าที่ป้องกันมอเตอร์จากกระแสไฟฟ้าเกินหรือไฟฟ้าลัดวงจร โดยจะตัดวงจรเมื่อเกิดความผิดปกติ
      1. Busbar
        • เป็นตัวนำไฟฟ้าหลักที่กระจายพลังงานจากแหล่งจ่ายไปยังแต่ละมอเตอร์
        • ทำจากวัสดุที่มีความนำไฟฟ้าสูง เช่น ทองแดงหรืออะลูมิเนียม
      1. Control Devices
        • เช่น Push Buttons และ Selector Switches ใช้สำหรับควบคุมการทำงานของมอเตอร์
      1. Programmable Logic Controller (Option)
        • ใช้ใน MCC รุ่นที่ทันสมัย เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความสามารถในการควบคุมแบบอัตโนมัติ
      2. Monitoring Instruments
        • เช่น Ammeter, Voltmeter และ Power Factor Meter เพื่อช่วยตรวจสอบประสิทธิภาพของมอเตอร์

      BANNER SEUS ENGINEERINGBANNER SEUS ENGINEERING

      การออกแบบและการติดตั้ง MCC

      1. การวางแผน
        • รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนและประเภทของมอเตอร์ เช่น ขนาดกำลังไฟฟ้า และประเภทการควบคุม
        • พิจารณาความเหมาะสมของพื้นที่ติดตั้ง เช่น การระบายความร้อนและการเข้าถึงสำหรับบำรุงรักษา
      2. การเลือกอุปกรณ์
        • เลือก Starter, Circuit Breaker และ Busbar ที่รองรับกระแสไฟฟ้าสูงสุดของระบบ
        • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ทั้งหมดเป็นไปตามมาตรฐาน เช่น IEC หรือ NEMA
      3. การติดตั้ง
        • ติดตั้งตู้ MCC ในตำแหน่งที่เหมาะสม โดยต้องมั่นใจว่าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เช่น ห่างจากความชื้นและฝุ่น
        • เชื่อมต่อสายไฟและอุปกรณ์ให้ถูกต้องตามแบบแปลน
      4. การตรวจสอบและการทดสอบ
        • ตรวจสอบการเชื่อมต่อทางไฟฟ้า และทดสอบการทำงานของอุปกรณ์ทั้งหมด เช่น การเปิด-ปิดมอเตอร์ และการทำงานของอุปกรณ์ป้องกัน

      การใช้งาน MCC ในโรงงานอุตสาหกรรม

      1. ระบบลำเลียง
        • ใช้ MCC ในการควบคุมมอเตอร์ที่ขับเคลื่อนสายพานลำเลียง (Conveyor Belt) เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการขนถ่ายวัสดุ
      2. ระบบปั๊มน้ำ
        • ใช้ MCC ในการควบคุมมอเตอร์ปั๊มน้ำเพื่อการประหยัดพลังงานและป้องกันความเสียหายจากการทำงานเกินกำลัง
      3. ระบบระบายอากาศ
        • MCC ช่วยควบคุมมอเตอร์พัดลมในระบบระบายอากาศเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี
      4. เครื่องจักรในสายการผลิต
        • ใช้ MCC ในการควบคุมมอเตอร์ที่ใช้ขับเคลื่อนเครื่องจักรต่างๆ ในสายการผลิต เพื่อให้การผลิตเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ

      BANNER SEUS ENGINEERINGBANNER SEUS ENGINEERING

      สรุป

      Motor Control Center เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารขนาดใหญ่ MCC ช่วยให้การควบคุม การป้องกัน และการบำรุงรักษามอเตอร์ทำได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ การเลือกใช้งาน MCC ที่เหมาะสม รวมถึงการติดตั้งและบำรุงรักษาอย่างถูกต้อง จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและเสถียรภาพให้กับระบบไฟฟ้า และสนับสนุนการทำงานของมอเตอร์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

      TIE IN โฆษณาให้ทาง SEUS ENGINEERING

      แล้วพบกับสาระดีๆแบบนี้ทางด้านงานช่าง งานวิศวกรรม และอุตสาหกรรมได้ที่ นายช่างมาแชร์ นะครับ

      Website: www.naichangmashare.com
      Facebook: https://www.facebook.com/naichangmashare/
      Blockdit :  https://www.blockdit.com/naichangmashare
      Instragram: https://www.instagram.com/naichangmashare/
      Twitter: https://twitter.com/naichangmashare
      Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCmIPiSeg-uy4k8JYSmknp_g

      #นายช่างมาแชร์ 

      Switchgear คืออะไร และสำคัญอย่างไร?

      0
      Switchgear คืออะไร และสำคัญอย่างไร?

      Switchgear เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบไฟฟ้าที่ใช้ในการป้องกัน ควบคุม และแยกส่วนของวงจรไฟฟ้าในสถานการณ์ต่างๆ เช่น การบำรุงรักษา หรือการป้องกันความเสียหายอันเนื่องมาจากไฟฟ้าลัดวงจร (Short Circuit) และโหลดเกิน (Overload) ระบบนี้มักถูกใช้ในสถานีไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม และอาคารขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า

      ประเภทของ Switchgear

      1. High Voltage Switchgear ใช้สำหรับระบบไฟฟ้าแรงสูง (มากกว่า 36 kV) เช่น สถานีไฟฟ้าแรงสูง ระบบนี้ต้องการอุปกรณ์ที่สามารถทนต่อแรงดันสูงและควบคุมการทำงานได้อย่างปลอดภัย เช่น Circuit Breaker, Disconnect Switch และ Current Transformer (CT)
      1. Medium Voltage Switchgear ใช้ในช่วงแรงดันปานกลาง (1 kV – 36 kV) เช่น ในโรงงานอุตสาหกรรมหรือระบบจำหน่ายไฟฟ้า โดยทั่วไปจะประกอบด้วย Vacuum Circuit Breaker (VCB) และ Load Break Switch
      1. Low Voltage Switchgear ใช้ในระบบไฟฟ้าแรงดันต่ำ (น้อยกว่า 1 kV) เช่นในอาคารพาณิชย์หรือโรงงาน ระบบนี้จะประกอบด้วยอุปกรณ์ต่างๆ เช่น Air Circuit Breaker (ACB), Miniature Circuit Breaker (MCB) และ Fuse

      BANNER SEUS ENGINEERINGBANNER SEUS ENGINEERING

      องค์ประกอบสำคัญของ Switchgear

      1. Circuit Breaker / disconnecting switch ทำหน้าที่ตัดและต่อวงจรไฟฟ้าโดยอัตโนมัติในกรณีที่เกิดความผิดพลาด เช่น ไฟฟ้าลัดวงจรหรือโหลดเกิน สามารถใช้งานได้ทั้งในแรงดันสูงและแรงดันต่ำ
      1. Fuse ใช้สำหรับป้องกันวงจรจากกระแสไฟฟ้าเกิน โดย Fuse จะทำงานด้วยการหลอมขาดเมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเกินค่าที่กำหนด
      2. Busbar เป็นตัวนำไฟฟ้าที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ในระบบ switchgear และช่วยในการกระจายพลังงานไฟฟ้า
      1. Protection Relay อุปกรณ์ที่ตรวจจับความผิดปกติในระบบ เช่น กระแสไฟฟ้าเกิน หรือแรงดันไฟฟ้าต่ำ และส่งสัญญาณไปยัง Circuit Breaker เพื่อทำการตัดวงจร

      การเลือกใช้งาน Switchgear

      1. ความเหมาะสมกับแรงดันไฟฟ้า การเลือก switchgear ต้องพิจารณาค่าแรงดันไฟฟ้าของระบบ เช่น High Voltage, Medium Voltage หรือ Low Voltage
      2. ความสามารถในการทนกระแสไฟฟ้า Switchgear ต้องสามารถรองรับกระแสไฟฟ้าสูงสุดในกรณีที่เกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้
      3. การออกแบบที่สอดคล้องกับมาตรฐาน เช่น มาตรฐาน IEC 62271 สำหรับ high voltage switchgear หรือ IEC 60947 สำหรับ low voltage switchgear
      4. ความปลอดภัย ควรเลือก switchgear ที่มีคุณสมบัติในการป้องกันการลุกลามของไฟและสามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยในกรณีฉุกเฉิน
      5. ความทนทานและการบำรุงรักษา อุปกรณ์ควรมีอายุการใช้งานยาวนานและง่ายต่อการบำรุงรักษา

      ประโยชน์ของ Switchgear

      1. เพิ่มความปลอดภัย Switchgear ช่วยลดความเสี่ยงของอุบัติเหตุไฟฟ้า เช่น ไฟฟ้าช็อตหรือไฟฟ้าลัดวงจร
      2. เสถียรภาพของระบบไฟฟ้า ช่วยรักษาความเสถียรของระบบไฟฟ้าโดยการตัดวงจรที่ผิดปกติอย่างรวดเร็ว
      3. การบำรุงรักษาและการซ่อมแซมง่ายขึ้น ด้วยการใช้ Disconnect Switch หรือ Isolator ทีมงานสามารถแยกวงจรเพื่อทำการบำรุงรักษาได้อย่างปลอดภัย
      4. รองรับการขยายระบบ Switchgear ถูกออกแบบให้สามารถเพิ่มหรือปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ได้ง่าย เพื่อรองรับการเติบโตของระบบในอนาคต

      การใช้งาน Switchgear ในโรงงานอุตสาหกรรม

      1. สถานีไฟฟ้าย่อย (Substation) ใช้ switchgear สำหรับควบคุมและป้องกันการส่งพลังงานไฟฟ้าไปยังโรงงานหรือส่วนต่างๆ ของระบบ
      2. ระบบการกระจายพลังงาน Switchgear ใช้ในการกระจายพลังงานไฟฟ้าไปยังโหลดต่างๆ เช่น มอเตอร์ หม้อแปลง และเครื่องจักร
      3. การป้องกันอุปกรณ์ไฟฟ้า ช่วยป้องกันอุปกรณ์สำคัญในโรงงาน เช่น หม้อแปลงและมอเตอร์จากความเสียหายที่เกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรหรือโหลดเกิน
      4. การจัดการพลังงาน ช่วยในการควบคุมและจัดการการใช้พลังงานไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

      สรุป

      Switchgear เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบไฟฟ้าที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและเสถียรภาพของระบบในหลากหลายสถานการณ์ ด้วยฟังก์ชันการป้องกัน การควบคุม และการแยกส่วนของวงจรไฟฟ้า การเลือกใช้งาน switchgear ที่เหมาะสม รวมถึงการติดตั้งและบำรุงรักษาอย่างถูกต้อง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้า ลดความเสี่ยงของอุบัติเหตุ และรองรับการขยายระบบในอนาคตได้อย่างยั่งยืน

      TIE IN โฆษณาให้ทาง SEUS ENGINEERING

      แล้วพบกับสาระดีๆแบบนี้ทางด้านงานช่าง งานวิศวกรรม และอุตสาหกรรมได้ที่ นายช่างมาแชร์ นะครับ

      Website: www.naichangmashare.com
      Facebook: https://www.facebook.com/naichangmashare/
      Blockdit :  https://www.blockdit.com/naichangmashare
      Instragram: https://www.instagram.com/naichangmashare/
      Twitter: https://twitter.com/naichangmashare
      Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCmIPiSeg-uy4k8JYSmknp_g

      #นายช่างมาแชร์ 

      Single Line Diagram (SLD) Drawing ที่มีความสำคัญทางไฟฟ้า

      0
      Single Line Diagram (SLD) Drawing ที่มีความสำคัญทางไฟฟ้า

      Single Line Diagram (SLD) หรือบางคนเรียกว่า One-line Diagram เป็นเอกสารทางวิศวกรรมที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในระบบไฟฟ้า โดยเฉพาะในโรงงานอุตสาหกรรมและระบบไฟฟ้าขนาดใหญ่ ซึ่ง SLD ถูกใช้เพื่อแสดงให้เห็นถึงแผนผังของการกระจายพลังงานไฟฟ้าในระบบโดยใช้สัญลักษณ์และเส้นเพียงเส้นเดียว เพื่อแสดงระบบไฟฟ้าได้อย่างกระชับและชัดเจน แม้ว่าในความเป็นจริง ระบบจะมีสายไฟฟ้าหลายสายที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ แต่ SLD จะลดความซับซ้อนของการนำเสนอให้เหลือเพียงเส้นเดียวเพื่อการวิเคราะห์และออกแบบที่ง่ายขึ้น

      ความสำคัญของ Single Line Diagram

      1. การออกแบบและวางแผนระบบไฟฟ้า SLD เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้วิศวกรสามารถออกแบบระบบไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้ข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับการเชื่อมต่อระหว่างแหล่งจ่ายไฟ อุปกรณ์ป้องกัน และโหลดไฟฟ้า นอกจากนี้ SLD ยังช่วยในการวางแผนการใช้พลังงานในระบบ เพื่อให้มั่นใจว่ามีการกระจายพลังงานอย่างเหมาะสม
      1. การวิเคราะห์ระบบ ในกรณีที่เกิดปัญหาในระบบไฟฟ้า เช่น ไฟฟ้าขัดข้องหรืออุปกรณ์ชำรุด SLD สามารถใช้ในการวิเคราะห์และระบุปัญหาได้ง่ายขึ้น เช่น การตรวจสอบว่าเบรกเกอร์ตัวใดตัดไฟหรือโหลดใดที่มีการใช้พลังงานเกินกำหนด

      การสื่อสารกับบุคคลอื่นๆ ข้อมูล SLD ช่วยให้การสื่อสารระหว่างทีมงานต่างๆ เช่น ทีมออกแบบ ทีมติดตั้ง และทีมซ่อมบำรุง เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเอกสารนี้แสดงข้อมูลที่ทุกคนสามารถเข้าใจได้ในรูปแบบที่เป็นมาตรฐาน

      BANNER SEUS ENGINEERINGBANNER SEUS ENGINEERING

      ส่วนประกอบสำคัญของ Single Line Diagram

      1. แหล่งจ่ายไฟฟ้า (Power Source) แหล่งจ่ายไฟฟ้าอาจเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator) หรือหม้อแปลงไฟฟ้า (Transformer) โดยใน SLD จะแสดงสัญลักษณ์ของแหล่งจ่ายไฟพร้อมกับข้อมูลสำคัญ เช่น กำลังไฟฟ้า (kVA) และแรงดันไฟฟ้า (Voltage)
      2. สายไฟฟ้า (Conductors) ใน SLD เส้นที่แสดงถึงสายไฟฟ้าจะเป็นเส้นตรงเดียว ซึ่งใช้แทนสายไฟหลายสายในความเป็นจริง เช่น สายไฟสามเฟส (3-phase) และสายกราวด์
      3. อุปกรณ์ป้องกัน (Protective Devices) SLD จะแสดงอุปกรณ์ป้องกัน เช่น เบรกเกอร์ (Circuit Breaker) ฟิวส์ (Fuse) และรีเลย์ป้องกัน (Protective Relay) ซึ่งช่วยป้องกันความเสียหายต่อระบบในกรณีที่เกิดไฟฟ้าลัดวงจรหรือโหลดเกิน
      4. โหลดไฟฟ้า (Loads) โหลดไฟฟ้าอาจเป็นมอเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือโหลดอื่นๆ ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า SLD จะระบุประเภทของโหลดพร้อมข้อมูลกำลังไฟฟ้าและแรงดันที่ใช้
      5. Busbar Busbar/Bus duct เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อแหล่งจ่ายไฟกับโหลดหรืออุปกรณ์อื่นๆ ใน SLD จะมีสัญลักษณ์เป็นเส้นหนาหรือเส้นคู่เพื่อแสดงการเชื่อมต่อ
      6. สวิตช์และไอโซเลเตอร์ (Switches and Isolators) ใช้สำหรับควบคุมและแยกส่วนของระบบไฟฟ้าเพื่อความปลอดภัยในการซ่อมบำรุงหรือการเปลี่ยนอุปกรณ์

      ขั้นตอนการสร้าง Single Line Diagram

      1. รวบรวมข้อมูลพื้นฐาน ข้อมูลที่ต้องเตรียมก่อนเริ่มสร้าง SLD ได้แก่
        • แหล่งจ่ายไฟฟ้า
        • ประเภทและจำนวนโหลดไฟฟ้า
        • อุปกรณ์ป้องกัน
        • การเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์
      2. กำหนดรูปแบบและมาตรฐาน การสร้าง SLD ควรใช้มาตรฐานที่เหมาะสม เช่น IEC 60617 หรือ IEEE Std 315 เพื่อให้แน่ใจว่าสัญลักษณ์และรูปแบบที่ใช้เข้าใจได้ง่ายและเป็นที่ยอมรับในวงการ
      3. ร่างแผนผังเบื้องต้น เริ่มจากการวาดแหล่งจ่ายไฟที่ต้นทาง และต่อเนื่องไปยังโหลดไฟฟ้าผ่านสายไฟฟ้า อุปกรณ์ป้องกัน และ Busbar
      4. ตรวจสอบความถูกต้อง ตรวจสอบว่า SLD แสดงข้อมูลครบถ้วนและถูกต้อง โดยพิจารณาจากแรงดันไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และกำลังไฟฟ้าในแต่ละส่วนของระบบ

      การใช้งาน Single Line Diagram ในโรงงานอุตสาหกรรม

      1. การบำรุงรักษาระบบไฟฟ้า  SLD เป็น Drawing ที่สำคัญสำหรับทีมงานบำรุงรักษาในการตรวจสอบและซ่อมแซมอุปกรณ์ไฟฟ้า บางครั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าจำเป็นต้องมีการวางแผนในการตัดไฟฟ้าก่อนการซ่อมบำรุง ซึ่ง SLD จะมีความสำคัญอย่างมากในการระบุขั้นตอนการตัดไฟฟ้า
      2. การฝึกอบรม SLD สามารถใช้ในการฝึกอบรมพนักงาน เพื่อให้เข้าใจโครงสร้างและการทำงานของระบบไฟฟ้าในโรงงาน
      3. การวางแผนขยายระบบ หากโรงงานต้องการขยายระบบไฟฟ้า SLD เป็นข้อมูลพื้นฐานที่ช่วยให้วิศวกรสามารถวางแผนและออกแบบระบบเพิ่มเติมได้อย่างถูกต้อง

      BANNER SEUS ENGINEERINGBANNER SEUS ENGINEERING

      สรุป

      Single Line Diagram เป็นเอกสารที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในงานวิศวกรรมไฟฟ้า โดยเฉพาะในโรงงานอุตสาหกรรม SLD ช่วยให้การออกแบบ การบำรุงรักษา และการขยายระบบไฟฟ้าทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่กระชับและเข้าใจง่าย การออกแบบและใช้งาน SLD อย่างถูกต้องจะช่วยลดความซับซ้อนของระบบและเพิ่ม

      TIE IN โฆษณาให้ทาง SEUS ENGINEERING

      แล้วพบกับสาระดีๆแบบนี้ทางด้านงานช่าง งานวิศวกรรม และอุตสาหกรรมได้ที่ นายช่างมาแชร์ นะครับ

      Website: www.naichangmashare.com
      Facebook: https://www.facebook.com/naichangmashare/
      Blockdit :  https://www.blockdit.com/naichangmashare
      Instragram: https://www.instagram.com/naichangmashare/
      Twitter: https://twitter.com/naichangmashare
      Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCmIPiSeg-uy4k8JYSmknp_g

      #นายช่างมาแชร์ 

      ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับระบบควบคุมด้วย PLC

      0
      ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับระบบควบคุมด้วย PLC
      ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับระบบควบคุมด้วย PLC

      ระบบควบคุมด้วย PLC (Programmable Logic Controller) เป็นหัวใจสำคัญของการควบคุมกระบวนการในโรงงานอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ด้วยความสามารถในการประมวลผลสัญญาณแบบดิจิทัลและอะนาล็อก PLC จึงถูกนำมาใช้แทนวงจรรีเลย์แบบเดิมโดยผู้คิดค้นเป็นวิศวกรไฟฟ้า และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ความแม่นยำ และความสะดวกสบายในการปรับเปลี่ยน (Modify) ควบคุมระบบต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

      องค์ประกอบสำคัญของ PLC

      1. หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit – CPU)
        • ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลและควบคุมการทำงานของระบบ
        • รับคำสั่งจากโปรแกรมที่เขียนในรูปแบบ Ladder Diagram, Function Block Diagram (FBD) หรือ Structured Text (ST)
      1. หน่วยความจำ (Memory)
        • ใช้เก็บโปรแกรมควบคุมและข้อมูลชั่วคราวที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน
        • แบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ RAM และ ROM
      2. โมดูลอินพุต (Input Module)
        • รับสัญญาณจากอุปกรณ์ภายนอก เช่น เซนเซอร์, สวิตช์ หรือปุ่มกด
        • มีทั้งอินพุตแบบดิจิทัลและอะนาล็อก
      1. โมดูลเอาต์พุต (Output Module)
        • ส่งสัญญาณไปยังอุปกรณ์ต่างๆ เช่น มอเตอร์, วาล์ว หรือหลอดไฟ
        • เอาต์พุตมีทั้งแบบดิจิทัลและอะนาล็อก
      2. แหล่งจ่ายไฟ (Power Supply)
        • จ่ายพลังงานให้กับ CPU, โมดูลอินพุต/เอาต์พุต และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ
      1. การสื่อสาร (Communication Interface)
        • ช่วยให้ PLC สามารถเชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับระบบอื่น เช่น SCADA หรือ HMI

      BANNER SEUS ENGINEERINGBANNER SEUS ENGINEERING

      การเขียนโปรแกรม PLC

      1. Ladder Diagram (LD)
        • รูปแบบการเขียนโปรแกรมที่ได้รับความนิยมที่สุด
        • มีลักษณะคล้ายวงจรรีเลย์ ทำให้เข้าใจง่ายสำหรับวิศวกรไฟฟ้า
      1. Function Block Diagram (FBD)
        • ใช้บล็อกฟังก์ชันเพื่อแสดงกระบวนการควบคุม
        • เหมาะสำหรับงานที่ซับซ้อน
      1. Structured Text (ST)
        • ใช้คำสั่งในรูปแบบของภาษาโปรแกรม
        • เหมาะสำหรับงานที่ต้องการการคำนวณที่ซับซ้อน
      1. Sequential Function Chart (SFC)
        • ใช้สำหรับงานที่มีลำดับขั้นตอนชัดเจน
      1. Instruction List (IL)
        • รูปแบบการเขียนโปรแกรมแบบข้อความที่คล้ายกับ Assembly Language

      การเลือกใช้ PLC

      1. ขนาดของระบบ
        • เลือก PLC ที่มีจำนวนอินพุตและเอาต์พุตเหมาะสมกับงาน
      2. ความเร็วในการประมวลผล
        • สำหรับงานที่ต้องการการตอบสนองเร็ว เช่น ระบบควบคุมมอเตอร์ความเร็วสูง
      3. การสื่อสาร
        • เลือก PLC ที่รองรับโปรโตคอลการสื่อสารที่เหมาะสม เช่น Modbus, Profibus, หรือ Ethernet
      4. สภาพแวดล้อมการทำงาน
        • PLC ควรทนต่ออุณหภูมิ ความชื้น และสัญญาณรบกวนในพื้นที่ติดตั้ง
      5. ความสามารถในการขยาย
        • ควรเลือก PLC ที่สามารถเพิ่มโมดูลได้ในอนาคต

      BANNER SEUS ENGINEERINGBANNER SEUS ENGINEERING

      สรุป

      PLC เป็นเครื่องมือสำคัญในระบบควบคุมอัตโนมัติที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำของกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม ด้วยความยืดหยุ่นในการควบคุม การเขียนโปรแกรมที่หลากหลาย และความสามารถในการขยายระบบ PLC จึงเหมาะสมกับงานควบคุมในทุกระดับ ตั้งแต่ระบบขนาดเล็กไปจนถึงระบบที่ซับซ้อนในโรงงานขนาดใหญ่

      TIE IN โฆษณาให้ทาง SEUS ENGINEERING

      แล้วพบกับสาระดีๆแบบนี้ทางด้านงานช่าง งานวิศวกรรม และอุตสาหกรรมได้ที่ นายช่างมาแชร์ นะครับ

      Website: www.naichangmashare.com
      Facebook: https://www.facebook.com/naichangmashare/
      Blockdit :  https://www.blockdit.com/naichangmashare
      Instragram: https://www.instagram.com/naichangmashare/
      Twitter: https://twitter.com/naichangmashare
      Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCmIPiSeg-uy4k8JYSmknp_g

      #นายช่างมาแชร์ 

      ลงทะเบียนเข้าร่วมงาน Intelligent Asia Thailand 2025  ได้แล้ววันนี้

      0
      Intelligent asia thailand 2025
      Intelligent asia thailand 2025

      เต็มอิ่มกับสิทธิพิเศษ พร้อมอัปเดตเทรนด์เจาะลึกด้านวงจรอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ จากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม

      คุ้มขนาดนี้ พลาดไม่ได้! สิทธิพิเศษสำหรับการลงทะเบียนเป็นหมู่คณะ (5 ท่านขึ้นไป) สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเดินทางรับบัตรเข้างานผ่านช่องทางพิเศษ

      สัมมนาฟรี ทุกหัวข้อ  SPS Stage , PCB Seminars, TECH Stage


      ลงทะเบียน ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย: https://shorturl.asia/f3w5a

      วันที่ : 6 – 8 มีนาคม 2568

      สถานที่: ฮอลล์ 102-103  ไบเทค บางนา

      รายละเอียดงาน https://intelligentasia-thailand.chanchao.com.tw/en

      สอบถามเพิ่มเติม 0-2128-0941

      เข้างานฟรี! (กรุณาแต่งกายสุภาพ)

      #IntelligentAsiaThailand2025 #IntelligentAsiaThailand #AutomationThailand #SPSStage #PCBSeminars #TECHStage #งานแสดงสินค้าอุตสาหกรรม #การผลิตอัจฉริยะ

      เออร์เซน (Aerzen) ชูแนวคิด BCG Model เปิดตัวบริการ “Subscription Plan” ตอบโจทย์อุตสาหกรรมยุคใหม่ สนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน

      0
      Aerzen blower wallpaper
      Aerzen blower wallpaper

      เออร์เซน (Aerzen) ผู้นำด้ำนเทคโนโลยี Oil-free Blower และ Oil-free Compressor ที่มีประวัติ ยาวนานกว่า 160 ปี ประกาศเปิดตัวบริการ Subscription Plan ครั้งแรกในกลุ่มอุตสำหกรรม สร้างความ คล่องตัวให้ภาคอุตสำหกรรม ปรับเปลี่ยนแนวคิดจากการซื้อเครื่องจักรมาเป็นระบบ Subscription ซึ่ง ออกแบบได้ตามความต้องการของผู้ใช้งาน

      พร้อมยกระดับมาตรฐานความยั่งยืนให้สอดคล้องกับแนวคิด BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) มุ่งใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดมลพิษ และส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างยั่งยืน

      แนวคิด “Subscription Plan” – Aerzen Thailand

      นายชิงชัน กุศลธรรมรัตน์ Rental Manager, Aerzen Thailand เปิดเผยว่า เราเชื่อมั่นว่าความ ยั่งยืนไม่ได้เป็นเพียงกระแส แต่คือหัวใจสําคัญของการดําเนินธุรกิจในยุคปัจจุบัน การเปิดตัว “Subscription Plan” ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเออร์เซนในการเปิดโอกาสให้ทุกธุรกิจสามารถ เข้าถึงเทคโนโลยีล้ําสมัยได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น โดยไม่จําเป็นต้องใช้เงินลงทุนจํานวนมากอีกต่อไป พร้อม ปรับใช้งานให้เหมาะสมตามความต้องการจริงในแต่ละโครงการ เพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโตอย่างมีความ รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

      “การใช้เครื่องจักรอุตสาหกรรมแบบ “Subscription Plan” ช่วยลดความซับซ้อนในการบํารุงรักษา เครื่องจักร เพราะเครื่องจักรจะได้รับการดูแลจากผู้ผลิตโดยตรง โมเดล Subscription Plan นี้ช่วยให้ภาค ธุรกิจและโรงงานเลือกใช้เครื่องเป่าลมและเครื่องอัดอากาศได้ตรงกับความต้องการจริง ลดการใช้งาน พลังงานเกินจําเป็น และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามหลักเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy)”

      เทคโนโลยีไร้น้ํามัน (Oil-Free) ของ เออร์เซน (Aerzen)

      นายชิงชัน กล่าว ทั้งนี้ เออร์เซน (Aerzen) ได้มุ่งลดมลพิษและยกระดับมาตรฐานความสะอาด เพื่อคุณค่าต่อสังคม ด้วยเครื่องเป่าลม (Blower) และเครื่องอัดอากาศ (Compressor) ที่ใช้เทคโนโลยีไร้น้ํามัน (Oil-Free) ของ เออร์เซน (Aerzen) ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 8573-1 Class 0 ทําให้ไม่เกิดการปนเปื้อนของน้ํามันใน กระบวนการผลิต โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องการความสะอาดและความปลอดภัยในระดับสูง เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ปิโตรเคมี และอิเล็กทรอนิกส์ การปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้เครื่องจักรไปสู่ระบบ Subscription นอกจากจะเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและลดมลพิษในกระบวนการผลิต ซึ่งเป็นก้าวสําคัญในการดูแลคุณภาพชีวิตของผู้ปฏิบัติงานชุมชน และสังคมโดยรวม


      แนวคิด “Subscription Plan” ทําให้ผู้ประกอบการไม่จําเป็นต้องใช้เงินลงทุนจํานวนมากในคราว เดียวไปกับเครื่องจักรขนาดใหญ่อีกต่อไป เมื่อไม่ใช้งาน ผู้ประกอบการไม่จําเป็นต้องรับผิดชอบค่าดูแลหรือ ค่าซ่อมบํารุงเพิ่มเติม Aerzen จะนําเครื่องจักรกลับมาบํารุงรักษาตามมาตรฐานที่เข้มงวด พร้อมทั้ง ตรวจสอบให้เป็นไปตามข้อกําหนด เพื่อเตรียมให้ผู้ใช้รายใหม่สามารถเช่าไปใช้งานต่อได้อย่างมั่นใจ เป็น การขับเคลื่อน เศรษฐกิจหมุนเวียน โดยที่ทรัพยากรไม่ถูกปล่อยทิ้งให้สูญเปล่าพร้อมก้าวสู่ความยั่งยืนกับ เออร์เซน (Aerzen) เปลี่ยนวิธีการดําเนินธุรกิจของคุณให้เป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อมด้วย Subscription Plan บริการที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจยุคใหม่ พร้อมสนับสนุนแนวคิด BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

      ***************************

      Arzen blower Banner2

      ติดตามข่าวสารและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ :
      LinkedIn: Aerzen Rental Asia Pacific
      Facebook: Aerzen Rental Asia Pacific
      Instagram: aerzenrentalth
      Website: www.aerzenrentalth.com
      สอบถามโทร : 038 015 488 อีเมล [email protected]


      ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสู่อนาคตที่ยั่งยืนกับ เออร์เซน (Aerzen)
      ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสัมภาษณ์ผู้บริหาร
      ฝ่ายสื่อสารองค์กร เออร์เซน (ประเทศไทย)
      โทร. 038 015 488
      อีเมล: [email protected]

      แล้วพบกับสาระดีๆแบบนี้ทางด้านงานช่าง งานวิศวกรรม และอุตสาหกรรมได้ที่ นายช่างมาแชร์ นะครับ

      Website: www.naichangmashare.com
      Facebook: https://www.facebook.com/naichangmashare/
      Blockdit :  https://www.blockdit.com/naichangmashare
      Instragram: https://www.instagram.com/naichangmashare/
      Twitter: https://twitter.com/naichangmashare
      Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCmIPiSeg-uy4k8JYSmknp_g

      #นายช่างมาแชร์ #Aerzen #Blower

      ขอเชิญเข้าร่วมอบรม “Cyber…ภัยเงียบที่อาจมาโดยไม่ทันตั้งตัว!”

      0
      ขอเชิญเข้าร่วมอบรม "Cyber…ภัยเงียบที่อาจมาโดยไม่ทันตั้งตัว!"
      ขอเชิญเข้าร่วมอบรม "Cyber…ภัยเงียบที่อาจมาโดยไม่ทันตั้งตัว!"

      ขอเชิญเข้าร่วมอบรม Cyber Security 40 ที่นั่ง ฟรี! มูลค่า 990 บาท/คน เพื่อเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจในการป้องกันภัยไซเบอร์

      ลงทะเบียน : https://forms.gle/d5UNqZLbR9ABYy786


      พบกันที่ สถาบันไทยเยอรมัน อมตะซิตี้ จังหวัดชลบุรี

      สิ่งที่คุณจะได้รับ:

      • อาหารว่างฟรี
      • ใบรับรองการอบรม
      • เสริมความปลอดภัยให้กับองค์กร ลดความเสี่ยงทางไซเบอร์
      • เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญแบบเจาะลึก

      อย่ารอช้า โอกาสดีๆ แบบนี้มีจำนวนจำกัด

      #อบรมฟรี #SecurityAwareness #CyberSecurity

      ความสำคัญของอุปกรณ์ Criticality Class S,A,B,C ในโรงงานอุตสาหกรรม

      0
      Boiler อุตสาหกรรม
      Boiler อุตสาหกรรม

      Criticality Class S, A, B, C เป็นการจัดลำดับความสำคัญของอุปกรณ์ในโรงงานอุตสาหกรรม โดยพิจารณาจากผลกระทบที่อุปกรณ์แต่ละชนิดมีต่อการดำเนินงาน ความปลอดภัย และค่าใช้จ่ายในกรณีที่เกิดความเสียหาย การจัดลำดับนี้มีความสำคัญในการบริหารจัดการงานซ่อมบำรุงและการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้

      ความสำคัญของการจัด Criticality Class

      1. เพิ่มความมั่นใจในกระบวนการผลิต (Reliabilty Production)

      ช่วยให้สามารถโฟกัสกับการบำรุงรักษาอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดก่อนลดความเสี่ยงต่อการหยุดชะงักของสายการผลิต

      2. เพิ่มความปลอดภัย (More Safety)

      อุปกรณ์ที่ส่งผลต่อความปลอดภัยของพนักงานหรือสภาพแวดล้อมจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ

      3. ลดต้นทุน (Cost Saving)

      ช่วยให้สามารถวางแผนการใช้ทรัพยากร เช่น งบประมาณ อะไหล่ และแรงงาน ได้อย่างเหมาะสม

      4.เพิ่มประสิทธิภาพการซ่อมบำรุง (Maintenance Efficency)

      ทีมงานสามารถจัดลำดับงานซ่อมบำรุงได้อย่างชัดเจนและทำงานได้รวดเร็วขึ้น

      Factorium Banner CMMS

      รายละเอียด Criticality Class

      1.Class S (Safety Critical)

      ลักษณะ: อุปกรณ์ที่มีความสำคัญสูงสุดด้านความปลอดภัย

      • ผลกระทบ: หากเสียหายอาจทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ทรัพย์สิน หรือสิ่งแวดล้อม
      • การจัดการ:ต้องมีการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (PM) และการตรวจสอบสม่ำเสมอ
      • มีแผนสำรองหรือมาตรการฉุกเฉิน
      • ตัวอย่าง: ระบบดับเพลิง, เซฟตี้วาล์ว, อุปกรณ์ตรวจจับแก๊สรั่ว

      2.Class A (Production Critical)

      • ลักษณะ: อุปกรณ์ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกระบวนการผลิตหลัก
      • ผลกระทบ: การหยุดทำงานของอุปกรณ์นี้จะทำให้สายการผลิตหยุดชะงัก
      • การจัดการ: เก็บอะไหล่สำรองเสมอ,วางแผนการบำรุงรักษาอย่างเข้มงวด
      • ตัวอย่าง: ปั๊มในกระบวนการผลิตหลัก, เครื่องจักรหลักในสายการผลิต

      3.Class B (Secondary Critical)

      ลักษณะ: อุปกรณ์ที่ส่งผลต่อกระบวนการผลิตรองหรือสนับสนุน

      • ผลกระทบ: หากหยุดทำงาน อาจกระทบต่อประสิทธิภาพ แต่ไม่ถึงกับหยุดสายการผลิต
      • การจัดการ:ตรวจสอบและบำรุงรักษาตามรอบระยะเวลาที่เหมาะสม
      • ตัวอย่าง: ระบบส่งกำลัง, คูลลิ่งทาวเวอร์

      4.Class C (Non-Critical)

      • ลักษณะ: อุปกรณ์ที่มีผลกระทบน้อยที่สุด
      • ผลกระทบ: การหยุดทำงานอาจสร้างความไม่สะดวก แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตหลัก
      • การจัดการ: ตรวจสอบเฉพาะเมื่อถึงรอบเวลา ซ่อมแซมเมื่อจำเป็น
      Factorium Banner CMMS

      ประโยชน์ของการใช้ Criticality Class

      1.จัดลำดับความสำคัญในการซ่อมบำรุง (Work Priority)

      ทีมซ่อมบำรุงสามารถจัดการอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดก่อน ลดความเสี่ยงจากการหยุดชะงัก

      2.เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการทรัพยากร (Resoure Management)

      จัดสรรเวลา อะไหล่ และบุคลากรได้อย่างเหมาะสม

      3.รองรับแผนงานด้านความปลอดภัย (Safety Plan)

      อุปกรณ์ Class S ได้รับการดูแลเป็นพิเศษเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ

      4.ช่วยวางแผนงบประมาณ (Budget Management)

      ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น โดยเน้นลงทุนกับอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุด

      วิธีดำเนินการจัด Criticality Class

      1.การวิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk Assessment)

      พิจารณาผลกระทบด้านการผลิต ความปลอดภัย และค่าใช้จ่าย

      2.การประเมินความสำคัญของอุปกรณ์ (Criticality Class Assessment)

      ใช้ข้อมูลทางเทคนิค เช่น ประวัติการซ่อมบำรุง และประวัติการเสียหาย

      3.กำหนดเกณฑ์การจัดลำดับ (Priority Matrix)

      เช่น ความถี่ในการใช้งาน ความยากในการซ่อม และผลกระทบต่อการผลิต

      4.ปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement)

      ตรวจสอบและปรับ Criticality Class เป็นระยะเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโรงงาน

      การจัด Criticality Class S, A, B, C เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการงานซ่อมบำรุงในโรงงานอุตสาหกรรม ช่วยลดความเสี่ยง เพิ่มประสิทธิภาพ และสนับสนุนความปลอดภัยในกระบวนการทำงาน

      =======================================

      หากเพื่อนๆกำลังมองหาระบบ CMMS ที่คุณภาพ มีมาตราฐานสากลระดับโลก ที่สำคัญใช้ฟรี ไม่ต้องโหลดโปรแกรม สามารถใช้ได้ในมือถือ ทั้งระบบ android และ iOS

      นายช่างมาแชร์ขอแนะนำโปรแกรม Factorium ระบบ CMMS ยุคใหม่ โปรแกรมซ่อมบำรุงบนสมาร์ทโฟน สำหรับโรงงานยุค 4.0 ครับผม  (www.factorium.tech)

      ติดต่อฝ่ายขายและปรึกษาโทร : 096-034-7506 (เนย) , 083-932-4654 (เกว)

      =======================================

      แล้วพบกับสาระดีๆแบบนี้ทางด้านงานช่าง งานวิศวกรรม และอุตสาหกรรมได้ที่ นายช่างมาแชร์ นะครับ

      Website: www.naichangmashare.com
      Facebook: https://www.facebook.com/naichangmashare/
      Blockdit :  https://www.blockdit.com/naichangmashare
      Instragram: https://www.instagram.com/naichangmashare/
      Twitter: https://twitter.com/naichangmashare
      Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCmIPiSeg-uy4k8JYSmknp_g

      #นายช่างมาแชร์ #Maintenance #CriticalityClass #CMMS #FACTORIUM

      เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

      ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

      คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

      ยอมรับทั้งหมด
      จัดการความเป็นส่วนตัว
      • คุกกี้ที่จำเป็น
        เปิดใช้งานตลอด

        ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

      • คุกกี้ที่จำเป็น

        ยินยอมใช้ Cookie สำหรับการติดตามการใช้งานเวปไซท์ นายช่างมาแชร์ เพื่อปรับปรุงคุณภาพของเนื้อหาและบริการ

      บันทึกการตั้งค่า
      ×