เพื่อนๆรู้มั้ยว่า ในอากาศทั่วๆไปที่เราหายใจอยู่ จะมีละอองไอน้ำอยู่ในทุกๆโมเลกุลของอากาศ ซึ่งถ้าละอองน้ำในส่วนนี้เยอะหรือน้อย เราสามารถที่จะบ่งบอกจะวัดได้จากค่า “ความชื้น” หรือ “Humidity” นั่นเองครับ โดยนิยามคือ สภาวะที่อากาศมีไอน้ำปะปนอยู่ ปริมาณไอน้ำในอากาศจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ เมื่ออุณหภูมิสูงอากาศจะรับไอน้ำได้มากกว่าอากาศที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า
แต่ว่าการที่จะบอกว่าอากาศมีความชื้นมากหรือมีความชื้นน้อย มีอยู่ 2 วิธี คือ
- ความชื้นสัมบูรณ์ (Absolute Humidity)
- ความชื้นสัมพัทธ์ (Relative Humidity)
แล้วเจ้าสองตัวนี้ชื่อคล้ายๆกัน แต่ต่างกันอย่างไร เราตามไปดูกันนะครับ
1. ความชื้นสัมบูรณ์ (Absolute Humidity)
ความชื้นสัมบูรณ์ หรือ Absolute Humidity คือ การวัดค่า “น้ำหนักของไอน้ำในอากาศต่อหนึ่งหน่วยปริมาตร” ณ อุณหภูมิเดียวกัน โดยคำนวณได้จากอัตราส่วนระหว่าง “มวลของไอน้ำในอากาศ” กับ “ปริมาตรของอากาศนั้น” วัดหน่วยเป็น g/cm3 (น้ำหนักต่อปริมาตร)
กรณีที่อากาศหดตัว หรือขยายตัว ค่าความชื้นสัมบูรณ์ จะมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งๆที่ ปริมาณไอน้ำยังคงเท่าเดิม ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุที่ว่า “ความชื้นสัมบรณ์ไม่เป็นที่นิยมมาวัดค่าความชื้นในอากาศ” นั่นเองนะครับ
2. ความชื้นสัมพัทธ์ (Relative Humidity)
ความชื้นสัมพัทธ์ หรือ Relative Humidity คือ ตัวที่บ่งบอกว่า มีปริมาณน้ำในหนึ่งโมเลกุลอากาศ มากน้อยแค่ไหน นั่นคือ อัตราส่วนระหว่าง “ความชื้นที่มีอยู่จริงในอากาศ” กับ “ความชื้นมากสุดที่อากาศรับได้ ; เมื่ออากาศอิ่มตัวด้วยไอน้ำ ที่อุณหภูมิและปริมาตรเดียวกัน” นิยมคิดเป็นร้อยละ หรือ เปอร์เซ็นต์ สามารถหาได้จากความสัมพันธ์
โดยการเปลี่ยนแปลงความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศจะขึ้นกับปัจจัยดังนี้
- ปริมาณไอน้ำในอากาศ ในกรณีที่ค่าความกดอากาศคงที่ หากปริมาณไอน้ำเพิ่มขึ้น ค่าความชื้นสัมพันธ์ก็จะเพิ่มขึ้นครับ
- อุณหภูมิ เมื่อปริมาณไอน้ำในอากาศและค่าความกดอากาศคงที่ หากอุณหภูมิเกิดการเปลี่ยนแปลงความชื้นก็จะเปลี่ยนแปลงครับ
- อุณหภูมิลดลง – ค่าความชื้นสัมพันธ์จะเพิ่ม โดย เมื่ออากาศเย็นลงปริมาตรของอากาศก็จะหดตัวลง จำนวนไอน้ำต่อพื้นที่จะเพิ่มขึ้น
- อุณหภูมิเพิ่มขึ้น – ค่าความชื้นสัมพันธ์จะลดลง โดย เมื่ออากาศร้อนขึ้นปริมาตรของอากาศก็จะขยายตัวเพิ่มขึ้น จำนวนไอน้ำต่อพื้นที่จะลดลง
ซึ่งสรุปง่ายๆคือ อุณหภูมิ จะแปรผกผันต่อ ความชื้นสัมพันธ์นั่นเองครับ
อย่างไรก็ตาม ค่าความชื้นสัมพันธ์ สูงสุดจะเป็นได้แค่ 100% เท่านั้นครับ นั่นคือ จุดอิ่มตัวของอากาศที่เต็มไปด้วยปริมาณไอน้ำมากที่สุด แต่ทว่าหากอุณหภูมิยังลดลงอีก ไอน้ำที่มีอยู่มากกว่าอากาศที่รับได้ ก็จะถูกบีบตัวออกมาในรูปของ ฝน น้ำค้าง หรือ หมอก และอุณหภูมิลดลงต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง (Freezing point) ก็จะเป็น หิมะ หรือน้ำแข็งนั่นเองครับ
เปรียบเทียบค่าความชื้นสัมบรูณ์ vs ความชื้นสัมพันธ์
เทคโนโลยีการวัดค่าอุณหภูมิและความชื้นด้วย Temperature & Humidity Sensor
หนึ่งในวิธีควบคุมความชื้นในโรงงานก็คือเราจะต้องมองให้เห็น (Monitoring) ว่าตอนนี้ความชื้น ณ จุดๆ นี้เป็นเท่าไหร่ ???
นายช่างมาแชร์ขอแนะนำเทคโนโลยี Wireless Humidity & Temperature Sensor ที่สามารถวัดความชื้นและอุณหภูมิได้แบบ Real-Time และเป็นเทคโนโลยีแบบ IoT (Internet of Thing อีกด้วย)
อ่านข้อมูลเพิ่มเติม การตรวจวัดอุณหภูมิและความชื้นแบบไร้สาย (Wireless Temperature & Humidity Sensor)
ถ้าเพื่อนๆ คนไหนสนใจสามารถติดต่อโดยตรงกับ Murata เพื่อขอข้อมูล หรือขอทดลองตัว Demo ได้ฟรีที่โรงงานของเพื่อนๆเลยนะครับ
ติดต่อ
ณพงศ์พัศ ธงชัย (เมฆ)
• วิศวกรฝ่ายขาย
• โทร: 081-132-4462
• อีเมล: [email protected]
คุณธนพร คุณากรเรืองกิจ (พลอย)
• เจ้าหน้าที่บริหารงานขายและการตลาด
• โทร: 063-125-6151
• อีเมล: [email protected]
หรือทาง Line Official Account: @thaimurata
#นายช่างมาแชร์ #Murata #Sensor #ความชื้น #Humidity #Technology #IoT #
Reference :
https://scijinks.gov/what-is-humidity/
https://macinstruments.com/
https://www.moscorner.com/