ทฤษฎี Risk based inspection (RBI)

0
ทฤษฎี Risk-based inspection (RBI)
ทฤษฎี Risk-based inspection (RBI)

เพื่อนๆหลายคนคงจะเคยได้ยินกันมาบ้างนะครับ สำหรับคำว่าวิธีการตรวจสอบ หรือ Inspection โดยใช้หลัก RBI แต่เคยสงสัยกันไหมครับว่ามันคืออะไร มีหลักการอย่างไร และวิธีการนี้สามารถช่วยโรงงานของเพื่อนๆได้อย่างไรกันบ้าง วันนี้เพจนายช่างมาแชร์จะขอมาอธิบายกันให้เข้าใจกันแบบง่ายๆกันเลยครับ

RBI คืออะไร?

RBI หรือชื่อเต็มของมันคือ Risk-based Inspection หรือถ้าแปลเป็นภาษาไทยก็จะหมายถึง การตรวจสอบโดยใช้เกณฑ์ความเสี่ยงเป็นตัวกำหนดแผนการตรวจสอบนั่นเองครับ (ต่อไปนี้จะขออนุญาตเรียกสั้นๆว่า “RBI” นะครับ) โดยทั่วไปไม่ว่าจะเป็น PM Plan สำหรับงานซ่อมบำรุงรักษาต่างๆ หรือการตรวจสอบ Inspection ใดๆก็ตาม จะสามารถแบ่งการกำหนดความถี่ในการทำได้ 3 แบบหลักๆ ดังนี้ครับ

  1. แบบ Routine หรือ Fixed interval ครับ โดยวิธีนี้จะกำหนดรอบในการทำงานแบบตายตัว ยกตัวอย่างเช่น เปลี่ยน Filter ของอุปกรณ์ทุกๆ 1 ปี หรือมีการตรวจสอบปั๊มทุกๆ 6 เดือน
  2. แบบ Condition based หรือแบบที่กำหนดรอบตามสภาพของอุปกรณ์นั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น อุปกรณ์ที่มีประวัติความเสียหายบ่อยๆ ก็จะปรับเพิ่มความถี่ในการซ่อมบำรุงรักษาให้บ่อยขึ้นครับ
  3. แบบ Risk-based inspection หรือ RBI จะเป็นวิธีการกำหนดแผนการตรวจสอบหรือ Inspection ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับโรงงาน โดยจะจัดลำดับความสำคัญของการตรวจสอบโดยใช้ความเสี่ยงมาเป็นเครื่องมือมาเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจครับ

RBI สามารถใช้กับอุปกรณ์ชนิดใดบ้าง

RBI คือเครื่องมือที่สามารถช่วยในการจัดอันดับความเสี่ยงของอุปกรณ์จำพวก Pressure vessel ชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Reactorเครื่องปฏิกรณ์, Distillation column หอกลั่น, Drum ถังรับแรงดัน, Heat exchanger อุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อนและรวมไปถึงระบบ Piping ท่อต่างๆภายในโรงงานอีกด้วยครับ

หลักการเบื้องต้นของ RBI

การนำ RBI เพื่อมากำหนดแผนการตรวจสอบอุปกรณ์สามารถใช้หลักการวิเคราะห์ได้ด้วยกัน 3 แบบคือ แบบเชิงคุณภาพ (Qualitative), แบบเชิงปริมาณ (Quantitative) และแบบเชิงกึ่งปริมาณ (Semi-quantitative) ซึ่งจะแตกต่างกันโดยข้อมูลที่นำมาใช้ในการประเมินนั่นเองครับ

RBI planning process

การประเมินโดยการใช้หลักการ RBI นั้น คือการประเมินโดยการพิจารณาหลักๆใน 2 แง่มุม ดังนี้

  1. Probability of failure (POF) หรือก็คือโอกาสในการเกิดความเสียหาย โดยพิจารณาจาก Damage mechanism หรือโหมดความเสียหายที่สามารถเกิดขึ้นได้กับอุปกรณ์นั้นๆ ว่ามีโอกาสมากน้อยอย่างไร โดยจะพิจารณาควบคู่กับผลการตรวจสอบที่ผ่านมาด้วยครับ
  2. Consequence of failure (COF) หรือก็คือผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ในกรณีที่เกิดการรั่วไหลของสารที่อยู่ภายในอุปกรณ์ของเรานั่นเองครับ โดยจะพิจารณาใน 4 แง่มุมดังนี้ครับ
  • Economic ก็คือผลกระทบเชิงเศรษฐศาสตร์หรือจะให้เข้าใจง่ายๆก็คือ ความเสียหายที่เกิดขึ้นในกรณีที่ต้องหยุดโรงงานหากอุปกรณ์ที่เราพิจารณาเสียหาย และจะรวมไปถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการซ่อมแซมอุปกรณ์ที่เสียหายด้วยครับ
  • Health & Safety ก็คือผลกระทบในแง่ของสุขภาพและความปลอดภัยของทั้งบุคคากรของโรงงานและผู้อยู่อาศัยในบริเวณข้างเคียงโรงงาน ในกรณีที่ได้รับหรือสัมผัสกับสารที่รั่วไหล
  • Environment ก็คือผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงพื้นที่ ที่ต้องมีการฟื้นฟูสภาพหากเกิดการรั่วไหลของสารเคมี
  • Reputation ก็คือผลกระทบด้านชื่อเสียง, ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของโรงงาน และผลกระทบต่อกฎหมาย
 ตาราง Risk matrix

โดยเมื่อพิจารณาเสร็จแล้วทั้ง POF และ COF ก็จะนำข้อมูลที่ได้ออกมาพลอตใส่ดาราง Risk matrix เพื่อกำหนดว่าอุปกรณ์ของเราที่พิจารณาทั้งหมดตกในความเสี่ยงระดับใด เพื่อที่จะสามารถใช้กำหนดแผนการตรวจสอบและเลือกวิธีการตวรจสอบที่เหมาะสมต่อไปครับ

ผลที่ได้จากการทำ RBI

การทำ RBI จะช่วยให้โรงงานของเราสามารถเลือกวิธีการซ่อมบำรุงรักษาและตรวจสอบได้อย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพมากที่สุด และยังถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยให้เราสามารถบริหารความเสี่ยงหรือ Risk management ที่อาจจะเกิดขึ้นกับโรงงานของเราอีกด้วยครับ

ประโยชน์ของการทำ RBI ประกอบไปด้วยดังนี้

  1. ช่วยลดความถี่ของการตรวจสอบและการหยุดเดินเครื่องอุปกรณ์ ทำให้โรงงานสามารถทำงานได้นานขึ้น
  2. ช่วยสร้างความมั่นใจว่าเทคนิคและวิธีการตรวจสอบเหมาะสมกับโอกาสในการเกิดความเสียหายของอุปกรณ์
  3. เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยในการบริหารความเสี่ยงขององค์กร
  4. ช่วยเพิ่มระยะเวลาในการเดินเครื่องจักรอุปกรณ์และลดระยะเวลาการหยุดเดินเครื่องจักรอุปกรณ์

จบกันไปแล้วนะครับสำหรับเรื่อง RBI ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่สำคัญมากๆเลยนะครับในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของโรงงานของเรา ถ้าเพื่อนๆสนใจข้อมูลในเชิงลึกกว่านี้ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จาก API 580 : Risk-based inspection และ API 581: Risk Based Inspection Methodology หวังว่าเพื่อนๆคงจะได้เข้าใจเกี่ยวกับ RBI กันมากขึ้นและได้เห็นว่าการทำ RBI นั้นมีประโยชน์ต่อโรงงานเป็นอย่างมากเลยนะครับ แล้วพบกันใหม่บทความหน้า สวัสดีครับ

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่