อสังหาริมทรัพย์และผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าพลังน้ำสี่แห่งในประเทศลาวเตรียมลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับผู้กำหนดนโยบายพลังงานจากภาครัฐทั้งในประเทศลาวและประเทศไทยภายในเดือนพฤษภาคม 2565 เพื่อผลักดันแผน และส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น
เป็นผลสืบเนื่องจากนโยบายที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีให้คำมั่นในการประชุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ ครั้งที่ 26 ที่กลาสโกว์เมื่อปลายปีที่แล้วว่าประเทศไทยจะมุ่งมั่นจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 และการปล่อยมลพิษสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2508
ด้านการลงทุนพลังงานไทย-ลาว
ด้านการลงทุนพลังงานดังกล่าว โดยในด้านพื้นที่โรงไฟฟ้าเหล่านี้จะตั้งอยู่ในบริเวณทางภาคเหนือของลาว และคาดว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โรงไฟฟ้าและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามจากรัฐบาลไทยในการบรรลุความเป็นกลางของคาร์บอนเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และการดูดซับ ซึ่งทางการไทยก็ต้องการใช้พลังงานสะอาดมากขึ้นเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจเช่นกัน
โรงไฟฟ้าพลังน้ำเป็นไปตามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในการนำเข้าไฟฟ้าจากประเทศลาวจำนวน 10.9 กิกะวัตต์ (GW) ในอีกสองทศวรรษข้างหน้า ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบาง, โรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง, และโรงไฟฟ้าพลังน้ำปากเล.การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ในฐานะผู้ซื้อไฟฟ้ารายเดียว มีแผนนำเข้าไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศลาวภายใต้สัญญาซื้อไฟฟ้าระยะยาว ภายใต้แผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติปี 2561 (แก้ไขครั้งแรก)
ระบุในวงกว้างว่า “ประเทศไทยจำเป็นต้องนำเข้าไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านโดยไม่ระบุประเทศหรือโครงการผลิตไฟฟ้า” ทั้งนี้ นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่าไทยมีแผนที่จะนำเข้าไฟฟ้าพลังน้ำจากประเทศพม่าด้วย แต่ความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงของประเทศเพื่อนพม่า จะทำให้แผนล่าช้า ดังนั้นการนำเข้าพลังงานจากทรัพยากรสะอาดมากขึ้นสอดคล้องกับแผนของรัฐบาลที่จะลดการพึ่งพาไฟฟ้าที่เกิดจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
Reference : https://www.bangkokpost.com