อย่างที่ทราบกันดีครับ ว่าหลังจากการมาของโรคไข้หวัด Covid-19 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ระดับโลกที่เรียกว่าระดับ World Change ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้นกระทบอย่างมากทั้งในภาคเศรษฐกิจ การเงิน และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างมาก (Digital Transformation) ทำให้พฤติกรรมทั้งในฝั่งของผู้บริโภค บริษัท และโรงงานเปลี่ยนไปอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเรื่องสงคราม รัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งกระทบต่อหลายๆ Supply Chain
นั้นแปลว่าเราจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะต้องรับมือกับคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่ๆที่โถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในบทความนี้นายช่างมาแชร์ก็ขอพาไปดู 5 เทรนด์โลกกธุรกิจและอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นในปี 2023 กันครับ
1. การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และโรงงานอุตสาหกรรมยุค 5.0 ที่เร็วขึ้น
เราอาจจะมีคำพูดที่ติดตลกว่า Digital Transformation เปลี่ยนแปลงโดยใคร ไม่ใช่ CEO ไม่ใช่รัฐบาล หรือผู้บริหารระดับสูง ที่ไหนแต่เป็น Covid-19 นั่นเอง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้น เป็นการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและกระทันหันมากๆ ยกตัวอย่างเช่น ก่อน Covid-19 มายังแทบไม่มีใครเลยที่ประชุมออนไลน์ แต่พอมีการแพร่ระบาดเกิดขึ้น เกิดการกักตัว และ Work from Home มาวันนี้ทุกๆประชุมแทบจะผ่านออนไลน์ทั้งสิ้น
ไม่เพียงแค่การประชุมออนไลน์เท่านั้นที่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ยังมีทั้งเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ (AI), อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT), เทคโนโลยีเสมือนจริงและความเป็นจริงเสมือน อย่าง Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) , เทคโนโลยี Cloud Computing, บล็อกเชน (BlockChain), สกุลเงินคริปโต (Cryto Currency), หุ่นยนต์ (Cobot) และเครือข่ายความเร็วสูง เช่น 5G เป็นต้น ที่พลิกโฉมและเรียกว่าเป็นกุญแจสำคัญสู่ชัยชนะในธุรกิจเลย
ดังนั้นแน่นอนว่า ใครที่เปลี่ยนแปลงไวกว่าก็ได้เปรียบกว่า !! ดังนั้นจึงกลายเป็นความกังวลและความกลัวของหลายๆภาคร้าน และโรงงานที่จะต้องพ่ายแพ้ในเกมส์นี้ไป ดังนั้นทุกธุรกิจและโรงงานจึงต้องทำ Digital Transformation องค์กรอย่างจริงจัง เพื่อคว้ากุญแจแห่งชัยชนะมาครองให้ได้ แต่การเปลี่ยนแปลงก็ต้องขับเคลื่อนไปทั้งองค์กร ให้ไปสู่จุดที่สามารถสร้าง “องค์กรอัจฉริยะ” (Intelligent Enterprises) ขึ้นมาได้ โดยจะเป็นองค์กรที่มีระบบและกระบวนการทำงานผสานรวมเข้าด้วยกัน สามารถทำงานให้สําเร็จลุล่วงด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
นอกเหนือจากเทคโนโลยีที่กล่าวถึงไปด้านบนแล้ว อีกเทรนด์ที่เกี่ยวข้องกับ Digital Tranformation เช่นกันก็คือ ในแง่ของการทำ Digital Marketing แบบต่างๆ ทั้งในส่วนของ Website , Platform, Social media หรือ Influener Marketing ที่มีผลกระทบในแง่มุมการตลาดและการสร้าง Brand Royalty ที่สามารถสร้างยอดขายและรักษาฐานลูกค้าได้อย่างยอดเยี่ยม
2. อัตราเงินเฟ้อสูง ธุรกิจต้องหาวิธีลดต้นทุน และ DIY
เงินเฟ้อ (Inflation) ยังถือเป็นหนึ่งในปัญหาของเศรษฐกิจ แม้ว่านักเศรษฐศาสตร์หลายๆคนจะคาดว่า “อัตราเงินเฟ้อของหลายประเทศรวมถึงไทยได้ผ่านจุดพีคไปแล้ว” แต่ความเสี่ยงที่ “เงินเฟ้อจะค้างอยู่ในระดับสูง” ก็ยังคงอยู่ ท่ามกลางความไม่แน่นอนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดประเทศของจีนที่มาเร็วกว่าคิด และสงครามในยูเครนที่ยืดเยื้อโดยเฉพาะเมื่อรัสเซียเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกรายใหญ่ รวมไปถึงการที่กลุ่ม OPEC เดินหน้าตามแผนลดกำลังการผลิตน้ำมัน ล้วนแต่เป็นผลให้ต้นทุนสูงขึ้น จึงอาจทำให้ธนาคารกลางต้องปรับขึ้นหรือคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงต่อไป
อย่างที่กล่าวไปแล้วธนาคารกลางทั่วโลกหันไปใช้มาตร “การปรับอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น” นอกจากจะแก้ปัญหาภาวะเงินเฟ้อไม่ได้ กลับยังเพิ่มภาระต้นทุนให้ผู้ประกอบการ
ซึ่งเทรนด์ธุรกิจและอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นในปี 2023 จะได้เห็นความพยายามที่หลายๆธุรกิจในการ “ลดต้นทุน (Cost Saving) และพยายามจะปรับราคาสินค้าแบบไม่ให้ขึ้นแบบก้าวกระโดด” หนึ่งในนั้นคือ การมองหา Supply Chain ที่ธุรกิจสามารถควบคุมได้ เพื่อแก้ปัญหา Supply ขาดแคลน ไม่ว่าจะเป็นการมองหา Supplier รายอื่นๆ ที่มีราคาใกล้เคียงกับรายเดิมที่เคยใช้ หรือหันมาพึ่งพาตัวเองมากขึ้น (DIY) ซึ่งจะช่วยให้สามารถควบคุมต้นทุนได้
หากมาตรการต่างๆ ที่ออกมาเพื่อหยุดภาวะเงินเฟ้อยังไม่ประสบความสำเร็จ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็คงมีโอกาสชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยที่จะยับยั้งชะลอการลงทุน และจะทำให้เศรษฐกิจหดตัวลง ขณะที่ผู้บริโภคอาจจะต้องรับภาระจากราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น และส่งผลให้ประสบปัญหาหนี้สินครัวเรือนที่เพิ่มมากขึ้นตามมาด้วย
3. ความยั่งยืนในธุรกิจ และ NetZero
คำว่า “ยั่งยืน” หรือ Sustainable เป็นอีกหนึ่งคำที่เราได้ยินบ่อยๆ ซึ่งกลายเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่มีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะยั่งยืนได้ จะประกอบด้วย 3 ด้านจากกลยุทธ กลยุทธ์ ESG เป็นหลักประกอบไปด้วย สิ่งแวดล้อม (Environment), สังคม (Social) และ กฎหมายนโยบาย (Governance) ซึ่งทั้งสามหัวข้อนี้มีการบังคับใช้กฏหมายใหม่ที่ส่งผลต่อต้นทุนและความเสี่ยงของธุรกิจโดยตรง
โดยกลยุทธ์ ESG จะช่วยให้ธุรกิจสามารถ “ดูแลอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” มากขึ้นและยังเป็นตัวช่วยเพิ่มอัตราการเติบโตของธุรกิจ ในยุคที่ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าที่มีส่วนช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และยังสามารถตอบสนองต่อนโยบายของภาครัฐและให้ความร่วมมือกับกฎหมายใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้านสิ่งแวดล้อม และมูลค่าบริษัทที่ส่งผลกระทบตรงต่อ กลุ่มผู้ถือหุ้น (Investor) ที่มีการลงทุนกับบริษัทที่เป็นอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือ Green Company
โดยเป้าหมาย คือ การมุ่งสู่ Net Zero คือการทำให้ทุกกิจกรรม “ไม่มีการปลดปล่อยมลพิษออกสู่สิ่งแวดล้อม” ทั้งการหันมาใช้พลังงานทางเลือกอย่าง Solar Cell หรือ การเปลี่ยนรถยนต์นองค์กรให้กลายเป็น EV (Electric Vechicle) รวมไปถึงการลดการปล่อยมลพิษ เพื่อนำมาหักลบกับกิจกรรมที่ไม่สามารถลดการปล่อยมลพิษขององค์กรได้ในรูปแบบของ Carbon Credit อีกด้วยครับ
4. ยกระดับประสบการณ์ด้วย Metaverse
Metaverse ที่ถูกมองว่าเป็นยุคต่อไปในโลกของ Internet ที่โดยมีเทคโนโลยี 3D อย่างเทคโนโลยี VR และ AR เช่น ในร้านเสื้อผ้าบางแห่งใช้เทคโนโลยี AR มาช่วยให้ลูกค้าได้จำลองสวมใส่เสื้อผ้าผ่านระบบนี้, ในโรงงานอุตสาหกรรมที่สามารถเดินเข้าไปอยู่ในพื้นที่การผลิตเพียงแค่ใส่แว่น VR, การจำลองเครื่องจักรและการแยกชิ้นส่วนแบบ 3D ที่ทำให้เห็นภาพเครื่องจักรที่ซับซ้อนชัดขึ้น เป็นต้นครับ ซึ่งหากมองเทคโนโลยีกลุ่มพวกนี้ดีๆ ก็สามารถสร้างความสามารถในการแข่งขันได้อย่างดีเลยครับ
ซึ่งล่าสุดทาง Apple ก็ได้ออกแว่น Vission Pro ที่ยกระดับเทคโนโลยีแว่น VR เพื่อให้ทำงาน หรือ Entertainment ได้ดีขึ้นอย่างมากเลยครับ
5. ความท้าทายของตลาดงานแรงกดดันทั้งนายจ้างและลูกจ้าง
“ตลาดงาน” ในปี 2022-2023 มีความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ ทั้งจากการเหตุการณ์ “The Great Resignation” หรือ การพร้อมใจกันลาออกระลอกใหญ่ และ “Quiet Quitting” การทำงานเฉพาะในส่วนความรับผิดชอบของตัวเองเท่านั้น (อารมณ์แบบทำงานแค่ส่วนของตัวเองเพื่ออยู่รอดไปวันๆ) เพื่อ Work-Life Balance โดยยุคนี้เป็นยุคที่คนมีการเปลี่ยนแปลงงานบ่อยมากๆ จากผลวิจัย “PwC” เคยทำผลสำรวจแรงงาน จำนวน 52,195 คน ในจำนวนนี้อยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 17,992 คน ระบุว่า ปรากฏการณ์ “การลาออกครั้งใหญ่” จะยังคงอยู่และดำเนินต่อไป โดยในอีก 12 เดือนข้างหน้า มีแผนจะเปลี่ยนงาน, ขอขึ้นเงินเดือน, เลื่อนตำแหน่ง โดย 1 ใน 5 ของลูกจ้างมีแผนที่จะเปลี่ยนงานใหม่ในอีก 12 เดือนข้างหน้า และ 1 ใน 3 ต้องการขอขึ้นเงินเดือน และ 1 ใน 3 ต้องการขอเลื่อนตำแหน่ง
ดังนั้น “แรงกดดันที่เกิดขึ้นกับนายจ้าง หรือองค์กร” ในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น การรักษาพนักงานที่มีความสามารถ (Talent Employee) จะยิ่งยากขึ้น ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนแรงงานทักษะสูง หนึ่งในปัจจัยนึงก็มาจากเทคโนโลยี หรือแพลตฟอร์มต่างๆ ที่ทำให้ทั้งนายจ้าง และลูกจ้าง สามารถเข้าถึงกันได้ง่าย ทางลูกจ้างเลยไม่ได้มีความจำเป็นต้องอดทนเหมือนยุคก่อนๆ โดยทางลูกจ้างเองเค้าก็สามารถพิจารณาข้อมูลที่หามาได้อย่าง่ายได้ ตั้งแต่ค่าจ้าง (Salary), ความยืดหยุ่นในการทำงานและวัฒนธรรมองค์กร, ประสบการณ์และความก้าวหน้าในการทำงาน ตลอดจนการหา Skill เพิ่มเติมและการได้ใบรับรองจากการอบรมเพื่อไปต่อยอดสู่อาชีพใหม่ๆ อีกด้วยครับ
ดังนั้นทางบริษัทจึงต้องหามาตรการในการรักษาลูกจ้างที่เก่ง (Talent Employee) ให้อยู่กับองค์กรในทุกแง่มุม และเปรียบเทียบกับบริษัทคู่แข่งอยู่ตลอดเวลา
Reference : Marketingoops.com
========================================================
และหากเพื่อนๆสนใจเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆในอุตสาหกรรม สามารถมาพบกับได้ใน “งาน Mira and Subcon EEC 2023” งานแสดงเทคโนโลยีสำหรับอุตสาหกรรมภาคตะวันออก ด้านการบำรุงรักษา ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ และอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิต
6-8 กันยายน 2566 ที่ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาตินงนุช พัทยา จังหวัดชลบุรี
สนใจสอบถามการจองพื้นที่ : https://mira-event.com/2023/en/Exhibit_RequestForm.asp
รายละเอียดเพิ่มเติม:
Website: mira-event.com
Line: @miraevent
========================================================
#นายช่างมาแชร์ #IoT #Technology #MIRA #SUBCON