Criticality Class S, A, B, C เป็นการจัดลำดับความสำคัญของอุปกรณ์ในโรงงานอุตสาหกรรม โดยพิจารณาจากผลกระทบที่อุปกรณ์แต่ละชนิดมีต่อการดำเนินงาน ความปลอดภัย และค่าใช้จ่ายในกรณีที่เกิดความเสียหาย การจัดลำดับนี้มีความสำคัญในการบริหารจัดการงานซ่อมบำรุงและการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
ความสำคัญของการจัด Criticality Class
1. เพิ่มความมั่นใจในกระบวนการผลิต (Reliabilty Production)
ช่วยให้สามารถโฟกัสกับการบำรุงรักษาอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดก่อนลดความเสี่ยงต่อการหยุดชะงักของสายการผลิต
2. เพิ่มความปลอดภัย (More Safety)
อุปกรณ์ที่ส่งผลต่อความปลอดภัยของพนักงานหรือสภาพแวดล้อมจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
3. ลดต้นทุน (Cost Saving)
ช่วยให้สามารถวางแผนการใช้ทรัพยากร เช่น งบประมาณ อะไหล่ และแรงงาน ได้อย่างเหมาะสม
4.เพิ่มประสิทธิภาพการซ่อมบำรุง (Maintenance Efficency)
ทีมงานสามารถจัดลำดับงานซ่อมบำรุงได้อย่างชัดเจนและทำงานได้รวดเร็วขึ้น
รายละเอียด Criticality Class
1.Class S (Safety Critical)
ลักษณะ: อุปกรณ์ที่มีความสำคัญสูงสุดด้านความปลอดภัย
- ผลกระทบ: หากเสียหายอาจทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ทรัพย์สิน หรือสิ่งแวดล้อม
- การจัดการ:ต้องมีการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (PM) และการตรวจสอบสม่ำเสมอ
- มีแผนสำรองหรือมาตรการฉุกเฉิน
- ตัวอย่าง: ระบบดับเพลิง, เซฟตี้วาล์ว, อุปกรณ์ตรวจจับแก๊สรั่ว
2.Class A (Production Critical)
- ลักษณะ: อุปกรณ์ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกระบวนการผลิตหลัก
- ผลกระทบ: การหยุดทำงานของอุปกรณ์นี้จะทำให้สายการผลิตหยุดชะงัก
- การจัดการ: เก็บอะไหล่สำรองเสมอ,วางแผนการบำรุงรักษาอย่างเข้มงวด
- ตัวอย่าง: ปั๊มในกระบวนการผลิตหลัก, เครื่องจักรหลักในสายการผลิต
3.Class B (Secondary Critical)
ลักษณะ: อุปกรณ์ที่ส่งผลต่อกระบวนการผลิตรองหรือสนับสนุน
- ผลกระทบ: หากหยุดทำงาน อาจกระทบต่อประสิทธิภาพ แต่ไม่ถึงกับหยุดสายการผลิต
- การจัดการ:ตรวจสอบและบำรุงรักษาตามรอบระยะเวลาที่เหมาะสม
- ตัวอย่าง: ระบบส่งกำลัง, คูลลิ่งทาวเวอร์
4.Class C (Non-Critical)
- ลักษณะ: อุปกรณ์ที่มีผลกระทบน้อยที่สุด
- ผลกระทบ: การหยุดทำงานอาจสร้างความไม่สะดวก แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตหลัก
- การจัดการ: ตรวจสอบเฉพาะเมื่อถึงรอบเวลา ซ่อมแซมเมื่อจำเป็น
ประโยชน์ของการใช้ Criticality Class
1.จัดลำดับความสำคัญในการซ่อมบำรุง (Work Priority)
ทีมซ่อมบำรุงสามารถจัดการอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดก่อน ลดความเสี่ยงจากการหยุดชะงัก
2.เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการทรัพยากร (Resoure Management)
จัดสรรเวลา อะไหล่ และบุคลากรได้อย่างเหมาะสม
3.รองรับแผนงานด้านความปลอดภัย (Safety Plan)
อุปกรณ์ Class S ได้รับการดูแลเป็นพิเศษเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ
4.ช่วยวางแผนงบประมาณ (Budget Management)
ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น โดยเน้นลงทุนกับอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุด
วิธีดำเนินการจัด Criticality Class
1.การวิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk Assessment)
พิจารณาผลกระทบด้านการผลิต ความปลอดภัย และค่าใช้จ่าย
2.การประเมินความสำคัญของอุปกรณ์ (Criticality Class Assessment)
ใช้ข้อมูลทางเทคนิค เช่น ประวัติการซ่อมบำรุง และประวัติการเสียหาย
3.กำหนดเกณฑ์การจัดลำดับ (Priority Matrix)
เช่น ความถี่ในการใช้งาน ความยากในการซ่อม และผลกระทบต่อการผลิต
4.ปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement)
ตรวจสอบและปรับ Criticality Class เป็นระยะเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโรงงาน
การจัด Criticality Class S, A, B, C เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการงานซ่อมบำรุงในโรงงานอุตสาหกรรม ช่วยลดความเสี่ยง เพิ่มประสิทธิภาพ และสนับสนุนความปลอดภัยในกระบวนการทำงาน
=======================================
หากเพื่อนๆกำลังมองหาระบบ CMMS ที่คุณภาพ มีมาตราฐานสากลระดับโลก ที่สำคัญใช้ฟรี ไม่ต้องโหลดโปรแกรม สามารถใช้ได้ในมือถือ ทั้งระบบ android และ iOS
นายช่างมาแชร์ขอแนะนำโปรแกรม Factorium ระบบ CMMS ยุคใหม่ โปรแกรมซ่อมบำรุงบนสมาร์ทโฟน สำหรับโรงงานยุค 4.0 ครับผม (www.factorium.tech)
ติดต่อฝ่ายขายและปรึกษาโทร : 096-034-7506 (เนย) , 083-932-4654 (เกว)
=======================================
แล้วพบกับสาระดีๆแบบนี้ทางด้านงานช่าง งานวิศวกรรม และอุตสาหกรรมได้ที่ นายช่างมาแชร์ นะครับ
Website: www.naichangmashare.com
Facebook: https://www.facebook.com/naichangmashare/
Blockdit : https://www.blockdit.com/naichangmashare
Instragram: https://www.instagram.com/naichangmashare/
Twitter: https://twitter.com/naichangmashare
Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCmIPiSeg-uy4k8JYSmknp_g
#นายช่างมาแชร์ #Maintenance #CriticalityClass #CMMS #FACTORIUM