MAP พร้อมเริ่มเดินเครื่องโรงแยกอากาศไฮเทค (Air Separation Unit: ASU)

0
ASU unit MAP

บริษัท มาบตาพุด แอร์โปรดักส์ จำกัด หรือ MAP พร้อมเริ่มเดินเครื่องโรงแยกอากาศไฮเทคแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยนวัตกรรมขั้นสูงในการใช้ประโยชน์จากพลังงานความเย็นที่ได้จากการเปลี่ยนสถานะก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ช่วยเพิ่มความสามารถในการผลิตก๊าซอุตสาหกรรม และออกซิเจน

รองรับความต้องการด้านการแพทย์และสาธรณสุข และยังลดการพึ่งพาไฟฟ้าในกระบวนการแยกอากาศ และทำให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศลดลง ตอบรับการลดคาร์บอนให้มีปริมาณที่ต่ำที่สุด

บริษัท มาบตาพุด แอร์โปรดักส์ จำกัด 

ในวันที่ 1 ตุลาคม 2564 นี้ บริษัท มาบตาพุด แอร์โปรดักส์ จำกัด (Map Ta Phut Air Products., Ltd.: MAP)  ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด (BIG) พร้อมเดินเครื่องโรงงานแยกอากาศ โรงงานแยกอากาศ (Air Separation Unit: ASU)  ที่ใช้ “พลังงานความเย็น” จากการเปลี่ยนสถานะก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากที่ปัจจุบันพลังงานความเย็นจาก LNG ถูกปล่อยทิ้งโดยไม่มีการนำมาใช้ประโยชน์  

การร่วมทุนระหว่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด (BIG)

เครื่องโรงงานแยกอากาศ (Air Separation Unit: ASU)

โรงงานแยกอากาศ (Air Separation Unit: ASU) ที่ใช้ “พลังงานความเย็น” จากการเปลี่ยนสถานะก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากที่ปัจจุบันพลังงานความเย็นจาก LNG ถูกปล่อยทิ้งโดยไม่มีการนำมาใช้ประโยชน์  จึงร่วมมือศึกษาจากทาง ปตท. และ BIG ต่อยอดนวัตกรรมการใช้ประโยชน์จากความเย็นดังกล่าว อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 

ทำให้โรงแยกอากาศ MAP เป็นแห่งแรกในไทยและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถผลิตก๊าซอุตสาหกรรมด้วยความเย็นจากกระบวนการแปรสภาพ LNG อาทิ ออกซิเจน ไนโตรเจน และอาร์กอน ปริมาณมากถึง 450,000 ตันต่อปี มูลค่าลงทุนรวมกว่า 2,000 ล้านบาท 

Diagram โดยทั่วๆไปของ ASU Unit

ประโยชน์ที่ได้รับจาก ASU

และจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศได้กว่า 28,000 ตันต่อปี อันเนื่องมาจากการลดการใช้ไฟฟ้าในกระบวนการแยกอากาศ ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญต่อการเตรียมความพร้อมของภาคอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Emissions

พร้อมกันนี้ โรงแยกอากาศ MAP ยังสนับสนุนกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New S-Curve) ซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญและยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศตอกย้ำความมุ่งมั่นของทั้ง ปตท. และ BIG ที่ยึดมั่นการดำเนินงานเพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมตลอดมา

ที่มา : https://www.energynewscenter.com/

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่