การบริหาร Spare Part สำหรับงานซ่อมบำรุง เป็นสิ่งสำคัญในการจัดการทรัพยากรเพื่อให้การซ่อมบำรุงดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดเวลาหยุดชะงัก (Downtime) ของเครื่องจักร และประหยัดต้นทุน มีเทคนิคและแนวทางดังนี้
1.การจัดหมวดหมู่ Spare Part
ชิ้นส่วนสำคัญ (Critical Spare Part):
* เป็นชิ้นส่วนที่ต้องมีในสต็อกเสมอ เนื่องจากส่งผลกระทบต่อการผลิตหากขาด เช่น มอเตอร์, เซนเซอร์
- ชิ้นส่วนทั่วไป (Non-Critical Spare Part):
- ใช้งานไม่บ่อย และมีเวลาสั่งซื้อเพียงพอก่อนใช้งาน เช่น อุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไป
- ชิ้นส่วนที่หมดอายุได้ (Perishable Spare Part):
- เช่น น้ำมันหล่อลื่น, กรองอากาศ ที่ต้องเปลี่ยนตามรอบเวลา
2.การวางแผนความต้องการ Spare Part
- วิเคราะห์ข้อมูลการใช้งาน:
- ใช้ข้อมูลจากประวัติการซ่อมบำรุงเพื่อคาดการณ์ความต้องการชิ้นส่วน
- ตั้งค่าระดับการเก็บสต็อก (Reorder Point):
- กำหนดจุดที่ควรสั่งซื้อชิ้นส่วนใหม่ เพื่อป้องกันการขาดแคลน
- จัดทำแผนสำรอง:
- สำหรับชิ้นส่วนที่ใช้บ่อย หรือใช้ในกรณี
3.การจัดการคลัง Spare Part
- ใช้ระบบจัดการ (Inventory Management System):
- ใช้ซอฟต์แวร์ CMMS หรือ ERP เพื่อบันทึกจำนวน, ตำแหน่งเก็บ และสถานะของชิ้นส่วน
- การจัดเรียงอย่างเป็นระบบ:
- แบ่งโซนการเก็บตามหมวดหมู่ เช่น หมวดอุปกรณ์ไฟฟ้า, หมวดชิ้นส่วนเครื่องจักร
- ตรวจสอบสต็อกเป็นประจำ:
- ทำการตรวจนับ (Cycle Count) เพื่อให้ข้อมูลคลังตรงกับความเป็นจริง
4.การพยากรณ์และวางแผนการจัดซื้อ
- พิจารณา Lead Time:
- เวลาที่ใช้ในการสั่งซื้อและจัดส่งชิ้นส่วนต้องสอดคล้องกับความเร่งด่วนในการใช้งาน
- สั่งซื้อแบบรวม (Bulk Order):
- ลดต้นทุนต่อชิ้น และประหยัดค่าขนส่ง
- บริหาร Supplier:
- เลือกซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้ และมีเงื่อนไขการจัดส่งที่เหมาะสม

5.การวิเคราะห์ต้นทุนและการควบคุมงบประมาณ
วิเคราะห์ค่าใช้จ่าย Spare Part:
* ตรวจสอบว่าการเก็บสต็อกมีต้นทุนเท่าไร และมีการใช้งานอย่างคุ้มค่าหรือไม่
- ลดต้นทุนส่วนเกิน:
- ใช้ชิ้นส่วนที่สามารถทดแทนกันได้ หรือปรับลดจำนวนชิ้นส่วนที่ไม่จำเป็นในสต็อก
- จัดทำรายงานประจำเดือน:
- สรุปข้อมูลการใช้ชิ้นส่วนและต้นทุน เพื่อตรวจสอบความคุ้มค่า
6.การบำรุงรักษา Spare Part
- การตรวจสอบสภาพ:
- ตรวจสอบชิ้นส่วนที่มีความเสี่ยงเสียหาย เช่น เก็บในที่ที่มีความชื้นต่ำสำหรับอะไหล่ที่ไวต่อสภาพอากาศ
- กำหนดรอบเปลี่ยนชิ้นส่วน:
- วางแผนการเปลี่ยนชิ้นส่วนตามรอบระยะเวลาที่เหมาะสม (Preventive Maintenance)
7.การจัดการกรณีฉุกเฉิน
- ชิ้นส่วนสำรองสำหรับฉุกเฉิน:
- เก็บชิ้นส่วนที่สำคัญและจำเป็นต่อการซ่อมบำรุงเร่งด่วน
- ทีมรับมือฉุกเฉิน:
- เตรียมทีมและแผนงานเพื่อรับมือกับสถานการณ์หยุดชะงัก
ตัวช่วยสำคัญ: เทคโนโลยีในการบริหาร Spare Part
ใช้ระบบ CMMS (Computerized Maintenance Management System):
* ช่วยในการติดตามสต็อก Spare Part, กำหนดการสั่งซื้อ และเชื่อมโยงข้อมูลกับงานซ่อมบำรุง
- RFID และ Barcode:
- สำหรับติดตามตำแหน่งและจำนวนชิ้นส่วนได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
การบริหาร Spare Part ที่ดีช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพในการซ่อมบำรุง และลดระยะเวลาการหยุดชะงักของเครื่องจักร
=======================================
หากเพื่อนๆกำลังมองหาระบบ CMMS ที่คุณภาพ มีมาตราฐานสากลระดับโลก ที่สำคัญใช้ฟรี ไม่ต้องโหลดโปรแกรม สามารถใช้ได้ในมือถือ ทั้งระบบ android และ iOS
นายช่างมาแชร์ขอแนะนำโปรแกรม Factorium ระบบ CMMS ยุคใหม่ โปรแกรมซ่อมบำรุงบนสมาร์ทโฟน สำหรับโรงงานยุค 4.0 ครับผม (www.factorium.tech)
ติดต่อฝ่ายขายและปรึกษาโทร : 096-034-7506 (เนย) , 083-932-4654 (เกว)
=======================================
แล้วพบกับสาระดีๆแบบนี้ทางด้านงานช่าง งานวิศวกรรม และอุตสาหกรรมได้ที่ นายช่างมาแชร์ นะครับ
Website: www.naichangmashare.com
Facebook: https://www.facebook.com/naichangmashare/
Blockdit : https://www.blockdit.com/naichangmashare
Instragram: https://www.instagram.com/naichangmashare/
Twitter: https://twitter.com/naichangmashare
Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCmIPiSeg-uy4k8JYSmknp_g
#นายช่างมาแชร์ #Sparepart #Management #CMMS #Factorium