เบื้องหลังการทำงานของเครน จากการวางแผนสู่การยกจริง ทุกขั้นตอนคือความปลอดภัยที่ผ่านการคิด วิเคราะห์ และคำนวณอย่างแม่นยำ 

สวัสดีครับพี่ๆช่าง และทุกคนที่เข้ามาอ่านหลายคนอาจมองว่า “การยกของด้วยเครน” เป็นเพียงการยกของขึ้น–ลงตามคำสั่งควบคุมเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว ทุกการยกคือกระบวนการที่ต้องผ่านการคิด วิเคราะห์ และวางแผนอย่างละเอียดในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเตรียมพื้นที่ก่อนเริ่มงาน ไปจนถึงการส่งมอบพื้นที่หลังงานเสร็จสิ้น 

เบื้องหลังความสำเร็จของงานยกแต่ละครั้ง คือความร่วมมือของทีมผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายที่ทำงานประสานกันอย่างเป็นระบบ ทั้งทีมวิศวกรผู้ออกแบบแผนการยก ทีมควบคุมเครน (Crane Operator) ทีมรัดอุปกรณ์ (Rigger) รวมถึงผู้ประสานงานที่ดูแลความเรียบร้อยในหน้างานจริง ทุกหน้าที่ล้วนมีความสำคัญ เพราะเมื่อทุกส่วนทำงานสอดประสานกันอย่างแม่นยำ ก็จะนำไปสู่ “การยกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด” 

เราได้สรุปขั้นตอนการทำงานของเครน ทั้งหมด 5 ขั้นตอน เพื่อให้ทุกคนเข้าใจการทำงานของเครนลองมาดูกันว่าแต่ละขั้นตอนมีอะไรบ้าง!  

ขั้นตอนที่ 1 : ตรวจสอบหน้างาน (Site Inspection & Data Collection) 

ก่อนนำเครนเข้าพื้นที่จริง ทีมวิศวกจะเข้าตรวจสอบหน้างานร่วมกับลูกค้า เพื่อประเมินความพร้อมและเก็บข้อมูลเชิงเทคนิคที่จำเป็นต่อการออกแบบแผนการยก โดยพิจารณาในทุกมิติ ได้แก่ 

1. ตำแหน่งจอดเครน (Crane Position): 

การกำหนดตำแหน่งจอดของเครนเป็นขั้นตอนสำคัญอันดับต้น ๆ ของงานยก เพราะเป็นจุดที่ส่งผลต่อทั้ง ความปลอดภัย, ประสิทธิภาพการยก, และ ความต่อเนื่องของงาน หากวางตำแหน่งไม่ถูกต้อง อาจเกิดปัญหาได้ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นดิน การทรงตัวของเครน หรือแม้แต่การชนกับสิ่งปลูกสร้างรอบข้าง การตรวจสอบและประเมินตำแหน่งจอดเครนจึงต้องพิจารณาหลายปัจจัย ได้แก่

1.1 ความมั่นคงของพื้นดิน (Ground Bearing Capacity) ตรวจสอบชนิดของพื้นดิน เช่น ดินอัดแน่น คอนกรีต แอสฟัลต์ หรือดินธรรมชาติ เพื่อประเมินความสามารถในการรับน้ำหนักของเครนและโหลดที่จะยก หากพื้นดินมีความอ่อนหรือเป็นดินถม ควรทำการ ทดสอบการทรุดตัว (Soil Test) หรือวิเคราะห์ค่าการรับน้ำหนัก (Bearing Pressure) ก่อนการติดตั้ง และใช้แผ่นรองขาเครน (Outrigger Pad / Steel Plate) เพื่อกระจายแรงกด ลดความเสี่ยงที่พื้นจะยุบหรือทรุดขณะเครนปฏิบัติงาน

1.2 พื้นที่และระยะปลอดภัยรอบเครน ต้องมีพื้นที่เพียงพอให้เครนกางขา Outrigger ได้เต็มระยะตามคู่มือผู้ผลิตตรวจสอบให้แน่ใจว่าบริเวณรอบเครนไม่มีสิ่งกีดขวาง เช่น รั้ว เครื่องจักร หรือวัสดุเก็บงาน ที่อาจขวางการเคลื่อนไหวของบูม จัดตั้งเขตห้ามเข้า (Exclusion Zone) เพื่อป้องกันบุคคลภายนอกเข้ามาในพื้นที่อันตรายระหว่างการยก

1.3 ความปลอดภัยจากสิ่งปลูกสร้างและสิ่งกีดขวางเหนือศีรษะ ตรวจสอบระยะห่างจาก สายไฟแรงสูง, เสาไฟ, ป้ายโฆษณา, อาคารสูง หรือโครงสร้างถาวรอื่น ๆ ต้องมีระยะห่างตามข้อกำหนดความปลอดภัย เช่น ห่างจากสายไฟแรงสูงอย่างน้อย 6–10 เมตร (ขึ้นอยู่กับแรงดันไฟฟ้า) หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรมีการขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และติดตั้งมาตรการป้องกันเพิ่มเติม เช่น ป้ายเตือน, การปิดเบรกเกอร์, หรือเจ้าหน้าที่ควบคุมเฉพาะกิจ

1.4 เส้นทางเข้า–ออกของเครนและรถขนส่ง (Access & Egress Route) สำรวจเส้นทางตั้งแต่จุดจอดเครนจนถึงทางเข้า–ออกพื้นที่งาน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีข้อจำกัดด้านความกว้าง ความสูง หรือความชันที่เกินขีดจำกัดของรถเครน และตรวจสอบพื้นทางเดินให้สามารถรับน้ำหนักรวมของเครนและรถบรรทุกขนส่งได้ จัดทำแผนการเคลื่อนย้ายเครนอย่างปลอดภัย โดยมีเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรในพื้นที่ (Traffic Controller) หากจำเป็น

2. ข้อมูลชิ้นงานที่จะยก (Load Information): 

ข้อมูลของวัตถุหรือชิ้นงานที่ต้องยก คือพื้นฐานสำคัญที่สุดในการคำนวณและออกแบบแผนการยก เพราะหากข้อมูลไม่ถูกต้อง จะส่งผลโดยตรงต่อความปลอดภัยและเสถียรภาพของเครนระหว่างปฏิบัติงาน การเก็บข้อมูลจะพิจารณาในหลายมิติ ดังนี้

2.1 น้ำหนักรวมของชิ้นงาน (Total Load Weight) ต้องระบุ “น้ำหนักจริง” ของวัตถุที่ต้องยก รวมถึงน้ำหนักของอุปกรณ์เสริม เช่น กริปเปอร์, สเปรดเดอร์บีม, ชุดรัด, หรือโครงจับยึด หากไม่ทราบน้ำหนักแน่นอน ควรอ้างอิงจากแบบทางวิศวกรรม (Drawing) หรือป้ายระบุข้อมูลของผู้ผลิต (Nameplate) และในกรณีที่น้ำหนักไม่แน่นอน ควรเผื่อค่าความปลอดภัยไว้ประมาณ 10–20% ของน้ำหนักประมาณการ เพื่อป้องกันการคำนวณต่ำเกินจริง

2.2 จุดศูนย์ถ่วงของวัตถุ (Center of Gravity – C.G.) การทราบตำแหน่งจุดศูนย์ถ่วงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้การยกอยู่ในภาวะสมดุล หากวัตถุมีรูปร่างไม่สมมาตร หรือมีน้ำหนักกระจายไม่เท่ากัน เช่น ถังน้ำมัน, เครื่องจักร, หรือโครงเหล็กประกอบ ต้องทำการคำนวณหรือจำลองตำแหน่ง C.G. ก่อน และเมื่อรู้ตำแหน่ง C.G. จะสามารถกำหนดจุดยึดสายสลิง (Sling Point) ได้อย่างถูกต้อง เพื่อให้ชิ้นงานไม่เอียงหรือพลิกระหว่างยก

2.3 รูปร่างและขนาดของชิ้นงาน (Shape & Dimension) ตรวจวัดความยาว กว้าง สูง ของชิ้นงาน เพื่อกำหนดรัศมีการยก (Lifting Radius) และความยาวบูม (Boom Length) ที่เหมาะสม รูปร่างของชิ้นงานจะส่งผลต่อการเลือกใช้อุปกรณ์ เช่น วัตถุทรงกระบอก → ใช้สายสลิงแบบรัดรอบ (Choker Hitch), วัตถุทรงสี่เหลี่ยม → ใช้สเปรดเดอร์บีมหรือบาร์กระจายแรง และพิจารณาความเปราะบางของวัสดุ เช่น กระจก เหล็กบาง หรืออุปกรณ์ที่มีส่วนประกอบภายใน เพื่อป้องกันการบิดงอหรือเสียหายจากแรงรัดครับ

2.4 จุดยึดโยง (Lifting Point) และวัสดุของชิ้นงาน ระบุตำแหน่งจุดที่สามารถยึดสายสลิงได้อย่างปลอดภัย เช่น Eye Bolt, Pad Eye, หรือห่วงยกที่ออกแบบมาเฉพาะ ตรวจสอบความแข็งแรงของจุดยึด (Rated Capacity) ให้เหมาะกับน้ำหนักที่จะรับ และพิจารณาวัสดุของชิ้นงาน เช่น เหล็ก, อะลูมิเนียม, คอนกรีต หรือพลาสติก เพื่อเลือกอุปกรณ์ยกที่เหมาะสม ไม่ทำให้พื้นผิวเกิดรอยหรือเสียหายในบางกรณีต้องใช้ อุปกรณ์เสริมเฉพาะทาง (Custom Lifting Frame) ที่ออกแบบโดยวิศวกร เพื่อให้การยกมีความสมดุลและปลอดภัยสูงสุด

2.5 สรุปการนำข้อมูลไปใช้ในแผน (Lifting Plan Integration) ข้อมูลทั้งหมดที่เก็บในขั้นตอนนี้จะถูกนำไปใช้ในการ: คำนวณแรงดึงของสลิง (Sling Force Calculation) เลือกขนาดเครนและมุมบูมที่เหมาะสม และวางแบบแปลนการยก (Lifting Diagram) เพื่อสื่อสารให้ทีมปฏิบัติงานเข้าใจตรงกัน

3. สภาพแวดล้อมโดยรอบ (Surrounding Condition)

นอกจากข้อมูลของชิ้นงานแล้ว การประเมินสภาพแวดล้อมบริเวณหน้างานก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะเป็นปัจจัยที่มีผลโดยตรงต่อ ความปลอดภัย, เสถียรภาพของเครน, และ ความต่อเนื่องในการทำงาน

3.1 พื้นที่ปลอดภัยรอบการยก (Exclusion Zone) กำหนดพื้นที่ห้ามเข้า (Safety Perimeter) รอบจุดยก เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกเข้ามาในบริเวณอันตราย และใช้กรวยกั้น, รั้วชั่วคราว หรือเทปเตือนเพื่อระบุขอบเขตชัดเจน ขนาดของ Exclusion Zone จะพิจารณาจากขนาดของวัตถุและรัศมีการหมุนของเครน (Slew Radius)ควรจัดให้มีเจ้าหน้าที่ควบคุมพื้นที่ (Safety Watcher) คอยเฝ้าระวังตลอดเวลาระหว่างการยก

3.2 สิ่งกีดขวางในพื้นที่ (Obstructions & Underground Facilities) ตรวจสอบอาคารใกล้เคียง เสาไฟฟ้า ป้าย หรือโครงสร้างที่อาจอยู่ในรัศมีหมุนของบูมเครน หากมีท่อใต้ดิน, ถังบำบัด, บ่อพัก หรือทางระบายน้ำ ต้องตรวจสอบตำแหน่งให้ชัดเจน เพราะอาจทำให้พื้นบริเวณนั้นทรุดตัวได้เมื่อรับน้ำหนักเครน กรณีอยู่ในพื้นที่จำกัด (Confined Area) ต้องวางแผนเส้นทางการยกให้ละเอียด และอาจต้องใช้เครนชนิดพิเศษ เช่น Crawler Crane หรือ Mini Crane

3.3 สภาพอากาศและปัจจัยธรรมชาติ (Weather Condition) ตรวจสอบข้อมูลสภาพอากาศล่วงหน้า เช่น ความเร็วลม, ปริมาณฝน, อุณหภูมิ และความชื้น หากลมแรงเกินค่าที่กำหนด (โดยทั่วไปไม่ควรเกิน 9–10 m/s ขณะยก) ต้องหยุดปฏิบัติงานทันที พื้นเปียกหรือฝนตกอาจทำให้เครนลื่นหรือพื้นดินอ่อนตัว ต้องเพิ่มการรองรับน้ำหนักหรือใช้แผ่นเหล็กเสริม เครนขนาดใหญ่ควรติดตั้ง Wind Indicator เพื่อวัดแรงลมแบบเรียลไทม์ และแจ้งเตือนเมื่อค่าเกินมาตรฐาน

3.4 สภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่ต้องคำนึงถึงระดับแสงสว่าง: หากเป็นงานกลางคืน ต้องมีระบบไฟส่องสว่างอย่างเพียงพอ, เสียงและการสื่อสาร: ในพื้นที่เสียงดัง ควรใช้วิทยุสื่อสารแทนการใช้สัญญาณมือ. พื้นที่สาธารณะ: หากทำงานในบริเวณถนนหรือพื้นที่มีคนสัญจร ต้องมีการจัดการจราจรและติดตั้งป้ายเตือนให้ชัดเจน

3.5 การบูรณาการข้อมูลสิ่งแวดล้อมสู่แผนการยก (Lifting Plan Integration) ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมทั้งหมดจะถูกบันทึกและนำมาประกอบใน Lifting Plan เพื่อใช้ในการวางมาตรการจำกัดพื้นที่และควบคุมบุคคลที่เกี่ยวข้องและกำหนดตำแหน่งจอดเครนอย่างปลอดภัย วางแนวทางป้องกันความเสี่ยงจากสภาพอากาศ

ขั้นตอนที่ 2 : จัดทำแผนการยก (Lifting Plan & Equipment Calculation) 

หลังจากทีมวิศวกรเก็บข้อมูลจากขั้นตอนการตรวจสอบหน้างานครบถ้วน (Site Inspection & Data Collection) แล้ว ข้อมูลทั้งหมด เช่น น้ำหนักและขนาดของวัตถุ, พื้นที่ปฏิบัติงาน, สภาพแวดล้อม และข้อจำกัดทางกายภาพ จะถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อจัดทำ Lifting Plan ซึ่งเป็นเอกสารทางเทคนิคที่ระบุทุกขั้นตอนของการยกอย่างละเอียด

1. การเลือกขนาดและชนิดของเครน (Crane Selection)

1.1 การพิจารณาน้ำหนักและรัศมีการยก (Load Weight & Lifting Radius) วิศวกรจะนำ “น้ำหนักรวมของชิ้นงาน” และ “รัศมีการยก” (ระยะจากจุดศูนย์กลางเครนถึงตำแหน่งของวัตถุ) มาใช้คำนวณหาขนาดเครนที่เหมาะสม โดยอ้างอิงจาก Load Chart ของผู้ผลิตเครน การเลือกเครนจะต้องคำนึงถึง “มุมบูม (Boom Angle)” และ “ความยาวบูม (Boom Length)” เพราะยิ่งรัศมียกไกล เครนจะรับน้ำหนักได้ลดลง ควรเลือกเครนให้มี Capacity เหลือ (Margin of Safety) อย่างน้อย 10–20% จากน้ำหนักจริง เพื่อความปลอดภัย

1.2 ประเภทของเครนที่เหมาะสม (Crane Type Selection) เลือกประเภทเครนตามลักษณะหน้างาน เช่น

  • Truck Crane / All-Terrain Crane – เหมาะกับงานนอกอาคารหรือหน้างานทั่วไป เคลื่อนย้ายสะดวก
  • Rough Terrain Crane – ใช้งานในพื้นที่ขรุขระหรือไม่เรียบ
  • Crawler Crane – เหมาะกับพื้นที่อ่อนหรือจำกัดพื้นที่วางขาเครน เพราะมีตีนตะขาบช่วยกระจายน้ำหนัก
  • Tower Crane – สำหรับงานก่อสร้างอาคารสูง
  • Mini Crane – ใช้ในพื้นที่แคบหรือภายในอาคาร

2. มุมการยก (Boom Angle) และ ความยาวบูม (Boom Length) 

มุมการยก (Boom Angle) คือ มุมระหว่างแขนบูมกับพื้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อ “รัศมียก” และ “น้ำหนักที่เครนยกได้” มุมมาก (บูมชัน) → ยกได้หนักกว่า แต่ระยะเอื้อมสั้น, มุมน้อย (บูมนอน) → เอื้อมได้ไกลกว่า แต่ยกได้น้อยลง

ความยาวบูม (Boom Length) คือ ความยาวของแขนเครน ใช้กำหนด “ความสูง” และ “ระยะเอื้อม” ของการยก บูมยาว → ยกได้สูงหรือข้ามสิ่งกีดขวาง แต่รับน้ำหนักได้น้อยลง, บูมสั้น → รับน้ำหนักได้มากกว่า เหมาะกับงานยกระยะใกล้

ในการวางแผน วิศวกรจะคำนวณค่ามุมและความยาวบูมจาก ตารางโหลดของเครน (Crane Load Chart) เพื่อให้เครนทำงานภายใต้ขีดจำกัดที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับสภาพหน้างานมากที่สุด

3. การคำนวณน้ำหนักบรรทุกสูงสุด (SWL – Safe Working Load) 

ขั้นตอนการคำนวณถือเป็นหัวใจสำคัญของการวางแผนยก เพื่อให้แน่ใจว่าเครนและอุปกรณ์ทั้งหมดสามารถรับน้ำหนักได้อย่างปลอดภัย โดยมีการคำนวณหลัก 3 ส่วน คือ

3.1 Safe Working Load (SWL) น้ำหนักบรรทุกสูงสุดที่อนุญาตให้ยกได้อย่างปลอดภัย คำนวณจากน้ำหนักจริงของชิ้นงาน, มุมการยก, ความยาวบูม และสภาพพื้น วิศวกรจะตรวจสอบจาก Crane Load Chart เพื่อยืนยันว่าค่า SWL อยู่ในขีดจำกัดที่ปลอดภัยเสมอ

3.2 Sling Force Calculation แรงดึงในสายสลิงขึ้นอยู่กับ มุมการยก (Sling Angle) และจำนวนสลิง หากมุมแคบเกินไปจะทำให้แรงดึงเพิ่มขึ้นเกินค่าความปลอดภัย
ใช้สูตรโดยประมาณ

เมื่อ WWW = น้ำหนักชิ้นงาน และ θ\thetaθ = มุมสลิงจากแนวดิ่ง
ผลคำนวณนี้ใช้ในการเลือกขนาดของสลิง สเก็น และสเปรดเดอร์บีมที่เหมาะสม

3.3 Outrigger Load Calculation

คำนวณแรงกดบนพื้นจากขาเครน เพื่อให้มั่นใจว่าพื้นสามารถรับน้ำหนักได้โดยไม่ทรุดตัว
หากพื้นอ่อนหรือไม่แข็งแรงพอ ต้องใช้ แผ่นรองเหล็ก (Steel Plate) หรือ ไม้รอง (Timber Mat) เพื่อกระจายแรงกดและเพิ่มความมั่นคง

4. การคำนวณแรงที่เกิดขึ้นกับอุปกรณ์ยึดโยง (Sling Force Calculation) 

ประเภทอุปกรณ์หน้าที่การเลือกใช้ที่เหมาะสม
สลิง (Sling)ยึดโยงวัตถุเข้ากับตะขอเครนเลือกชนิด (Wire Rope / Chain / Webbing) และขนาดตามค่า SWL ของงาน
สเก็น (Shackle)เชื่อมต่อระหว่างสลิงกับห่วงยกต้องมีโหลดเรตติ้ง (WLL) สูงกว่าน้ำหนักยกจริง
สเปรดเดอร์บีม (Spreader Beam)กระจายแรงและรักษารูปทรงของชิ้นงานใช้ในกรณีชิ้นงานยาวหรือเปราะบาง
ห่วงยก (Eye Bolt / Pad Eye)จุดยึดหลักของวัตถุต้องตรวจสอบการติดตั้งและมุมยกไม่เกินค่าที่กำหนด
Lifting Frameอุปกรณ์เฉพาะทางสำหรับชิ้นงานขนาดใหญ่ออกแบบตามแบบวิศวกรรมเฉพาะชิ้นงาน

พร้อมทั้งกำหนดชนิดของ อุปกรณ์ยึดโยง (Lifting Gear) ที่เหมาะสม เช่น สลิง (Sling), สเก็น (Shackle), สเปรดเดอร์บีม (Spreader Beam), และห่วงยก (Eye Bolt)  ทุกการเลือกจะอยู่บนพื้นฐานของ “ค่าความปลอดภัย” ตามกฎหมายและมาตรฐานอุตสาหกรรม เพื่อให้มั่นใจว่าการยกจะปลอดภัยในทุกสภาวะ  ก่อนปิดแผน จะมี การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) เพื่อคาดการณ์และป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น เช่น การแกว่งของวัตถุหรือแรงลมเกินกำหนด 

ขั้นตอนที่ 3 : ส่งเอกสารให้ผู้ว่าจ้างตรวจสอบและอนุมัติ 

หลังจากทีมวิศวกรจัดทำ แผนการยก (Lifting Plan) และคำนวณข้อมูลทางเทคนิคเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการ ส่งเอกสารให้ผู้ว่าจ้างตรวจสอบและอนุมัติอย่างเป็นทางการ เพื่อยืนยันว่าการปฏิบัติงานทุกส่วนเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยและข้อกำหนดทางกฎหมาย เอกสารที่จัดเตรียมในขั้นตอนนี้จะประกอบด้วยหลายส่วนสำคัญ ได้แก่

1. แบบแปลนการยก (Lifting Diagram)

เป็นแผนภาพแสดงรายละเอียดการยกทั้งหมด เช่น ตำแหน่งจอดเครนและรัศมียก, ทิศทางการเหวี่ยงบูม, ตำแหน่งของชิ้นงานก่อน–หลังการยก, พื้นที่ปลอดภัยรอบเครน (Exclusion Zone) แบบแปลนนี้ช่วยให้ผู้ว่าจ้างและทีมงานเข้าใจภาพรวมของงานยกได้ชัดเจนก่อนเริ่มปฏิบัติจริง

2. ตารางคำนวณแรงและอุปกรณ์ (Load & Equipment Calculation Sheet)

เป็นเอกสารแสดงผลการคำนวณทางวิศวกรรม เช่น น้ำหนักรวมของชิ้นงาน (Load Weight), มุมบูม, ความยาวบูม และรัศมียก, แรงดึงในสลิง (Sling Force), รายการอุปกรณ์ยึดโยงที่ใช้ เช่น สลิง, สเก็น, สเปรดเดอร์บีม พร้อมขนาดและค่าความปลอดภัย เอกสารนี้ทำหน้าที่ “ยืนยันทางเทคนิค” ว่าการยกอยู่ในช่วงที่ปลอดภัยตามค่ามาตรฐานของเครน

3. รายชื่อเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน (Personnel List)

แสดงรายชื่อและหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น Crane Operator: ผู้ควบคุมการทำงานของเครน, Rigger / Signalman: ผู้ผูกยึดชิ้นงานและส่งสัญญาณควบคุมการยก, Engineer / Supervisor: วิศวกรควบคุมงานและผู้ตรวจสอบความปลอดภัยหน้างาน การระบุรายชื่อชัดเจนช่วยให้ผู้ว่าจ้างตรวจสอบคุณสมบัติของบุคลากรได้อย่างโปร่งใส

4. ใบรับรองความพร้อมของเครื่องจักรและบุคลากร (Certificates & Approvals)

เอกสารรับรองมาตรฐานความปลอดภัย เช่น ใบตรวจสภาพเครน (Crane Inspection Certificate), ใบอนุญาตและใบอบรมของผู้ควบคุมเครน (Crane Operator License), ใบรับรองผู้ปฏิบัติงานรัดอุปกรณ์ (Rigger / Signalman Certificate), เอกสารรับรองความปลอดภัยตามกฎหมาย เช่น จป.2, จป.วิชาชีพ เอกสารเหล่านี้เป็นหลักฐานยืนยันว่า เครื่องจักรและบุคลากรมีความพร้อมในการทำงานจริง

5. การตรวจสอบและอนุมัติ (Approval Process)

เมื่อส่งเอกสารทั้งหมดแล้ว ผู้ว่าจ้างหรือทีมความปลอดภัยของโครงการจะทำการตรวจสอบรายละเอียด เช่น แผนการยกถูกต้องตามมาตรฐานหรือไม่? มีการระบุเขตปลอดภัยและแนวทางป้องกันอุบัติเหตุครบถ้วนหรือไม่?เครื่องจักรและบุคลากรผ่านการรับรองตามกฎหมายหรือไม่?

หากเอกสารครบถ้วนและผ่านการตรวจสอบ ผู้ว่าจ้างจะ อนุมัติการนำเครนเข้าพื้นที่จริง (Permit to Lift / Work Approval) เพื่อเริ่มดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

ขั้นตอนที่ 4 : ตรวจสอบเครื่องจักรและดำเนินการยก 

รถเครน

ก่อนเริ่มยกจริง จะมีการตรวจสอบขั้นสุดท้ายทุกจุด เพื่อให้มั่นใจในความพร้อมทั้งคนและเครื่อง ระหว่างปฏิบัติงาน วิศวกรควบคุมจะตรวจสอบความปลอดภัยทุกช่วง เพื่อให้การยกเป็นไปตามแผนที่วางไว้ทุกประการ 

1.ตรวจสภาพรถเครน: ตรวจระบบ เบรก, ไฮดรอลิก, สายสลิง ว่าอยู่ในสภาพใช้งานได้ ตรวจระบบ LMI (Load Moment Indicator) เพื่อให้มั่นใจว่าเครนจะไม่รับน้ำหนักเกินกำหนด และตรวจการกางขา Outrigger ว่าติดตั้งถูกต้องและมั่นคง

    2.ตรวจสอบสภาพอากาศ:  หากลมแรงเกิน จะต้องหยุดการยกทันทีเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุขณะกำลังยกงาน สำหรับเครนขนาดใหญ่จะติดตั้ง Wind Indicator เพื่อตรวจวัดความเร็วลมแบบเรียลไทม์ 

    3.การสื่อสารภายในทีม: ใช้สัญญาณมือมาตรฐาน (Hand Signal) หรือวิทยุสื่อสาร ทุกคำสั่งจะผ่านผู้ควบคุมสัญญาณเพียงคนเดียว เพื่อป้องกันความผิดพลาด

    ขั้นตอนที่ 5 : เก็บอุปกรณ์และส่งมอบพื้นที่หลังงานเสร็จ 

    เมื่อการยกและติดตั้งเสร็จสิ้น ทีมงานจะตรวจสอบความเรียบร้อยของชิ้นงานอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าติดตั้งสมบูรณ์และปลอดภัย จากนั้นจึงดำเนินการเก็บอุปกรณ์ ตรวจสภาพสลิง–สเก็น และอุปกรณ์ยึดโยงทุกชิ้น และขนย้ายเครนออกจากพื้นที่อย่างเป็นระบบ จัดทำ รายงานสรุปผลการทำงาน (Work Completion Report) เพื่อส่งมอบให้ลูกค้าเป็นหลักฐานการดำเนินงานครับ

    สรุป : ทุกการยก คือ “ความปลอดภัยและความเชื่อมั่น” 

    เบื้องหลังเครนทุกคันของสหเครน คือทีมงานที่ทำงานด้วยหัวใจของ “ความปลอดภัย”เราลงลึกในทุกรายละเอียด ตั้งแต่การสำรวจหน้างาน การคำนวณเชิงวิศวกรรม ไปจนถึงการควบคุมหน้างานจริงกว่า 30 ปีของประสบการณ์ทำให้เราเชื่อมั่นว่า ความปลอดภัยคือรากฐานของคุณภาพและทุกภารกิจของเรา จะสำเร็จด้วยความมั่นใจของลูกค้าทุกครั้ง 

    เราพร้อมให้บริการครบ จบในที่เดียว ด้วยทีมงานมืออาชีพ และอุปกรณ์มาตรฐานระดับสากล 

    📞 โทรเลย: [038-054065] 
    📍 เยี่ยมชมสถานที่จริง หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.sahacrane.com 

    เครน” ไม่ใช่แค่ยกของ — แต่คือเครื่องมือที่ยกระดับโลก 
    แล้วคุณล่ะ พร้อมให้เครนของคุณช่วยยกระดับธุรกิจหรือยัง? 


    แล้วพบกับสาระดีๆแบบนี้ทางด้านงานช่าง งานวิศวกรรม และอุตสาหกรรมได้ที่ นายช่างมาแชร์ นะครับ

    Website: www.naichangmashare.com
    Facebook: https://www.facebook.com/naichangmashare/
    Blockdit :  https://www.blockdit.com/naichangmashare
    Instragram: https://www.instagram.com/naichangmashare/
    Twitter: https://twitter.com/naichangmashare
    Youtube: https://www.youtube.com/@naichangmashare
    TikTok :  https://www.tiktok.com/@naichangmashare

    นายช่างมาแชร์

    ทีมแอดมิน - นายช่างมาแชร์
    ทีมแอดมิน - นายช่างมาแชร์
    ขอมาแชร์ความรู้ "งานช่าง เครื่องจักรกล และงานวิศวกรรม" ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน

    Related

    ทิ้งคำตอบไว้

    กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
    กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

    274ผู้ติดตามติดตาม
    1,580ผู้ติดตามติดตาม
    356ผู้ติดตามติดตาม

    Thanks Sponsor

    Latest Articles

    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

    ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

    คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

    ยอมรับทั้งหมด
    จัดการความเป็นส่วนตัว
    • คุกกี้ที่จำเป็น
      เปิดใช้งานตลอด

      ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

    • คุกกี้ที่จำเป็น

      ยินยอมใช้ Cookie สำหรับการติดตามการใช้งานเวปไซท์ นายช่างมาแชร์ เพื่อปรับปรุงคุณภาพของเนื้อหาและบริการ

    บันทึกการตั้งค่า
    ×