หลายๆคนต้องรู้จักคำว่า “ท่อ” กันอยู่แล้วใช้ไหมครับ ซึ่งท่อเนี่ยถือเป็นอีกหนึ่งในชิ้นส่วนพื้นฐานของโรงงานอุตสาหกรรมและงานก่อสร้างมากๆเลยที่มีหน้าที่ใช้ทั้งในการลำเลียงของไหล รับแรงดัน และเป็นชิ้นส่วนโครงสร้างของโรงงานและอาคารต่างๆ
แต่!!.. ถ้าได้ยินคำว่า tube กับ pipe แน่นอนว่าหลายๆคนยังสับสนระหว่างอยู่แน่นอน ซึ่งไม่เพียงแค่นั้นนะครับ คำถามนี้มักเอาไปใช้ในการสัมภาษณ์งานในหลายๆที่อีกด้วย ;จาก ปสก ส่วนตัว 🙂 โดยในบทความนี้เราจะพาไปรู้จักท่อ Tube ตั้งแต่พื้นฐาน ประเภท การผลิต และวิธีเลือกจริงใช้สำหรับงานอุตสาหกรรมแบบเชิงความรู้แบบจัดเต็มกันครับผม
ท่อ (Tube) — คู่มือฉบับย่อสำหรับช่างและวิศวกรมืออาชีพ
สำหรับ “ท่อ (Tube)” จริงๆก็คือท่อที่มีความเป็นวัสดุทรงกลม (หรือรูปทรงตัดขวางอื่น ๆ) ที่มีรูสำหรับนำของไหล/แรงดัน/สัญญาณในมุมวิศวกรรม เช่น แรงดันลม Pneumatic, แรงดันน้ำมัน hydraulic ต่างๆ ที่ถูกนำมาออกแบบใช้เป็นชิ้นส่วนเชิงกลในเครื่องจักรและระบบ
โดย “ความแตกต่างสำคัญระหว่าง Tube กับ Pipe” โดยทั่วไปคำว่า pipe ใช้วัดตามขนาดโดยประมาณ (Nominal Pipe Size) วัดเป็น NPS (นิ้ว) x schedule (กำหนดความหนา) ซึ่งทำหน้าที่ในการลำเลียงของไหล fluid จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง
โดยส่วนคำว่า tube จะวัดโดยรัศมีนอก Outer Diameter (OD) และ Wall Thickness (WT) วัดเป็นค่า OD × WT (เช่น 25.4×1.5 mm) มีความแม่นยำมิติสูงกว่า และมักถูกออกแบบให้ใช้ภายในเครื่องจักร ระบบส่งกำลัง หรือระบบสัญญาณ sensing line ต่างๆ เช่น Pneumatic, hydraulic, water ต่างๆเป็นต้น ซึ่งการออกแบบก็จะเลือกจาก แรงดัน อุณหภูมิ อัตราการไหล รวมถึงชนิดของสานด้านในนั่นเองครับ
หลักการทำงานเชิงกลของท่อ (พอเข้าใจแบบช่าง)
ท่อ Tube ทำหน้าที่รับแรงจากของไหล (แรงดันภายใน) และรับแรงจากการติดตั้ง/โหลดภายนอก (แรงดัด บิด แรงอัด ฯลฯ) และส่งสัญญาณทางกลไปหาระบบและเครื่องจักรต่อไป
สำหรับท่อที่รับแรงดันภายใน หลักการสำคัญคือ แรงเค้นแนวรอบ (hoop stress) และ แรงเค้นตามแนวแกน (axial stress)
- สมการ (thin-walled assumption):
“Hoop stress ≈ (P × D) / (2 × t) ,Axial stress ≈ (P × D) / (4 × t)”
; โดยที่นิยามคือ P = ความดันภายใน, D = เส้นผ่านศูนย์กลาง (mean/outer ตามนิยาม), t = ความหนา ผู้ออกแบบต้องใช้สูตรที่เหมาะสมกับเงื่อนไขและมาตรฐาน
กระบวนการผลิตท่อ (ภาพรวม)
1. Seamless (ไร้ตะเข็บ)
ท่อแบบ Seamless (ไร้ตะเข็บ) วิธีหลักในการผลิตคือ Piercing / Rotary piercing แล้ว Pilger rolling หรือ extrusion และ cold drawing เพื่อได้มิติเฉียบและสมบัติกลที่ดี เหมาะสำหรับงานแรงดันสูง/อุตสาหกรรมก๊าซ/ปิโตรเคมี/ไฮดรอลิค
2. Welded (มีรอยเชื่อม)
สามารถแบ่งวิธีย่อยๆออกได้เป็น 3 แบบนะครับ
- ERW (Electric Resistance Welded): ม้วนแผ่นแล้วเชื่อมด้วยความต้านทาน เหมาะท่อขนาดกลาง
- SAW (Submerged Arc Welding): ใช้กับท่อขนาดใหญ่ เช่นท่อส่งน้ำ/ท่อสตีลสำหรับงานก่อสร้าง
- HFW (High Frequency Welding): เวลาต้องการความเร็วการผลิตสูง
3. Cold drawing / cold finishing
ในการผลิตแบบ Cold fishing จะเป็นการเพิ่มความเที่ยงตรงของมิติและปรับปรุงสมบัติทางกลสำหรับการผลิตท่อ Tube ของเรานั่นเองครับ
4. Extrusion (สำหรับโลหะอ่อน/อลูมิเนียม/พลาสติก)
การผลิตแบบ Extrusion สำหรับหลักการคือ จะทำการดันวัสดุผ่านดายเพื่อให้เป็นท่อ Tube เช่นท่อ PVC, HDPE, ท่ออัลลอย Alloy หลังการผลิตมักมีกระบวนการ อบคืนเนื้อ (annealing), pickling, passivation (สำหรับสแตนเลส), coating/galvanizing เพื่อป้องกันการกัดกร่อน
ประเภทท่อ / วัสดุ | ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|---|
Seamless (ไร้รอยเชื่อม) | – ทนแรงดันสูงกว่า – ไม่มีรอยเชื่อมเป็นจุดอ่อน – มิติแม่นยำ | – ราคาสูงกว่า – กระบวนการผลิตซับซ้อน |
Welded (มีรอยเชื่อม) | – ราคาถูกกว่า – ผลิตได้รวดเร็ว – ทำขนาดใหญ่ได้ง่าย | – รอยเชื่อมเป็นจุดบกพร่อง – ต้องตรวจสอบคุณภาพรอยเชื่อม |
สแตนเลส (Stainless Steel) | – ทนการกัดกร่อนสูง – เหมาะกับอาหาร ยา และงานที่ต้องการสุขอนามัย | – ราคาแพงกว่าคาร์บอน |
คาร์บอนสตีล (Carbon Steel) | – แข็งแรง – ราคาประหยัด – ใช้งานหลากหลาย | – ต้องเคลือบ/ป้องกันการกัดกร่อน – อายุการใช้งานสั้นกว่าในสภาพกัดกร่อน |
พลาสติก (Plastic: PVC, HDPE ฯลฯ) | – น้ำหนักเบา – ติดตั้งง่าย – ทนสารเคมีบางชนิด | – ทนแรงดันต่ำกว่าโลหะ – ไม่ทนความร้อนสูง |
ประเภทของท่อ — แบ่งตามมิติต่าง ๆ
1. ตามลักษณะวัสดุ (Material Base)
- เหล็กกล้าคาร์บอน (Carbon steel) — ทั่วไป ถูก ทนแรงดี แต่ต้องป้องกันการกัดกร่อน
- สแตนเลส (SS) — ทนการกัดกร่อนดี เหมาะอาหาร ยา เคมี น้ำทะเล
- ทองแดง/ทองเหลือง — ท่อทำความร้อน ระบบน้ำยาแอร์ งานเครื่องมือแพทย์บางชนิด
- อะลูมิเนียม — เบา ใช้งานโครงสร้าง อากาศยาน
- ไทเทเนียม/นิกเกิลอัลลอย — งานอุณหภูมิสูง/กัดกร่อนรุนแรง (อุตสาหกรรมพิเศษ)
- พลาสติก (PVC, HDPE, PEX) — ทนสารเคมีบางชนิด ติดตั้งง่าย ไม่ทนแรงดัน/อุณหภูมิสูงเท่าโลหะ
2. ตามรูปตัดขวาง (Cross-Sectional Base)
- ท่อกลม (round tube) — ใช้ทั่วไป 95%
- ท่อเหลี่ยม/สี่เหลี่ยม (square/rectangular tube) — งานโครงสร้าง เฟอร์นิเจอร์
3. ตามการออกแบบใช้งาน (Application design Base)
การใช้งานท่อ Tube เราจะเอาไปใช้งานกับระบบและเครื่องจักรที่ค่อนข้างหลากหลายนะครับ โดยอาจจะขอยกตัวอยากการออกแบบเพื่อเอาไปใช้งานในแบบประเภทต่างๆนะครับ
3.1) ท่อแรงดัน (pressure tubing)
คืออะไร: ท่อที่ถูกออกแบบมาเพื่อรับแรงดันภายในสูง (fluid/gas) โดยตรง เช่น น้ำมัน ก๊าซ อากาศอัด
คุณสมบัติสำคัญ:
- ผลิตจากเหล็กไร้ตะเข็บ (seamless) หรือท่อเชื่อมคุณภาพสูง
- มีมาตรฐานรับรอง เช่น ASTM A179, ASTM A106, ASME SA213
- ต้องผ่านการทดสอบแรงดัน (Hydrostatic test, Pneumatic test)
ตัวอย่างการใช้งาน:
- ระบบท่อส่งน้ำมัน ก๊าซ ไอน้ำแรงดันสูง
- ระบบ Boiler / Heat recovery
- ระบบอัดอากาศในโรงงาน
ข้อสังเกต: ราคาสูง ต้องควบคุมคุณภาพการผลิตและทดสอบเข้มงวด
3.2) ท่อแลกเปลี่ยนความร้อน (heat-exchanger tubing)
คืออะไร: ท่อที่ใช้ในอุปกรณ์ Heat Exchanger / Condenser / Evaporator เพื่อถ่ายเทความร้อนระหว่างสองของไหล
คุณสมบัติสำคัญ:
- ต้องมีผิวเรียบ ขัดมัน หรือขัดพิเศษเพื่อลดการเกาะของตะกรัน
- ทนการกัดกร่อน (นิยมใช้สแตนเลส, ทองแดง, ท่อโลหะผสมพิเศษ เช่น Inconel, Titanium)
- มีความบางพิเศษเพื่อให้การถ่ายเทความร้อนมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างการใช้งาน:
- คอนเดนเซอร์ในโรงไฟฟ้า
- Evaporator ในระบบทำความเย็น
- Heat Exchanger ในปิโตรเคมี อาหาร และเครื่องดื่ม
ข้อสังเกต: ต้องตรวจสอบด้วย Eddy Current Test / Ultrasonic Test เป็นประจำ เพราะผนังบางและเสี่ยงต่อการรั่ว
3.3) ท่อไฮดรอลิค/เครื่องมือ (precision/hydraulic tubing)
คืออะไร: ท่อขนาดเล็กถึงกลาง ที่มี ความเที่ยงตรงสูง (tight tolerance) ใช้กับระบบแรงดันไฮดรอลิค หรืองานเครื่องมือวัด
คุณสมบัติสำคัญ:
- OD และความหนาแม่นยำสูง
- ผิวในเรียบ ลดการสูญเสียแรงดัน
- มักใช้สแตนเลสหรือเหล็กกล้าไร้รอยเชื่อม
- ต้องทนแรงดันเป็นพิเศษ (สำหรับไฮดรอลิค >200 bar)
ตัวอย่างการใช้งาน:
- ระบบไฮดรอลิคเครื่องจักรกลหนัก (Excavator, Press machine)
- ระบบเบรกอากาศ/น้ำมัน
- ท่อสำหรับเครื่องมือวัดความดัน/อุณหภูมิ (Instrumentation tubing)
ข้อสังเกต: ติดตั้งมักใช้ข้อต่อแบบ compression fitting (Swagelok, Parker) เพื่อป้องกันการรั่ว
3.4) ท่อโครงสร้าง (structural tubing)
คืออะไร: ท่อที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อส่งของไหล แต่ใช้เป็น โครงสร้างรับแรง
คุณสมบัติสำคัญ:
- มักทำเป็น ท่อสี่เหลี่ยม (Square/Rectangular tube) หรือ ท่อกลม (Round tube)
- เน้นความแข็งแรงต่อแรงดัดและแรงอัด มากกว่าความหนาแน่นของผนัง
- สามารถทำจากเหล็กคาร์บอน, อะลูมิเนียม หรือสแตนเลส
ตัวอย่างการใช้งาน:
- โครงสร้างอาคาร, โครงเหล็ก, เฟรมเครื่องจักร
- เฟอร์นิเจอร์, ราวกันตก, โครงเก้าอี้, ชั้นวาง
- โครงรถยนต์, รถไฟ, อากาศยาน
ข้อสังเกต: ราคาประหยัดกว่า pressure tube และไม่จำเป็นต้องผ่านการทดสอบแรงดัน
ประเภทท่อ | จุดเด่น | การใช้งานหลัก | วัสดุที่นิยม | ข้อควรระวัง |
---|---|---|---|---|
Pressure tubing | ทนแรงดันสูง ไร้รอยเชื่อม | ระบบก๊าซ, ไอน้ำ, น้ำมัน | Carbon steel, Stainless | ต้องทดสอบ Hydro / Pneumatic |
Heat-exchanger tubing | ผนังบาง ถ่ายเทความร้อนดี | Condenser, Evaporator, Boiler | Copper, Stainless, Titanium | เสี่ยงรั่ว ต้องตรวจสอบสม่ำเสมอ |
Hydraulic/Precision tubing | มิติแม่นยำสูง, ผิวเรียบ | ระบบไฮดรอลิค, เครื่องมือวัด | Stainless, Alloy steel | ใช้ fitting พิเศษ ป้องกันรั่ว |
Structural tubing | แข็งแรง รับแรงโครงสร้าง | อาคาร, เฟอร์นิเจอร์, โครงรถ | Carbon steel, Aluminium | ไม่เหมาะกับงานส่งของไหล |
4. การใช้งานจริงตามอุตสาหกรรม (ตัวอย่าง)
- พลังงาน / ปิโตรเคมี: ท่อแรงดันสูง ท่อแลกเปลี่ยนความร้อน ท่อของหม้อไอน้ำ
- อุตสาหกรรมอาหาร/ยา: สแตนเลส sanitary tubing
- HVAC/ระบบทำความเย็น: ทองแดงสำหรับระบบน้ำยาแอร์ ท่อแลกเปลี่ยนความร้อน
- ยานยนต์/อากาศยาน: ท่อเชื้อเพลิง ท่อไฮดรอลิค ท่อโครงสร้างน้ำหนักเบา
- การแพทย์: ท่อขนาดเล็กสำหรับอุปกรณ์ทางการแพทย์ (hypodermic tubing)
- งานก่อสร้าง/เฟอร์นิเจอร์: ท่อสี่เหลี่ยม/กลมเป็นชิ้นส่วนโครงสร้างและราวจับ
5. การเลือกท่อ Tube — เงื่อนไขที่ต้องพิจารณา
การเลือกท่อให้เหมาะสมไม่ใช่แค่ “เลือกวัสดุ” เท่านั้น แต่ต้องดู เงื่อนไขการใช้งานจริง ทั้งแรงดัน อุณหภูมิ สภาพแวดล้อม และวิธีการติดตั้ง หากเลือกผิดอาจทำให้ท่อรั่ว แตก หรืออายุการใช้งานสั้นลง ซึ่งประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณามีดังนี้
5.1) ความดันและอุณหภูมิที่ต้องใช้งาน
ความดัน (Pressure): ท่อที่ใช้กับไอน้ำแรงดันสูง, ไฮดรอลิค หรือก๊าซ ต้องทนแรงดันได้มากกว่า ซึ่งมักเลือกใช้ Seamless tube หรือท่อที่ผ่านการทดสอบ Hydrostatic test
อุณหภูมิ (Temperature):
- อุณหภูมิสูง → ต้องเลือกโลหะที่ทนได้ เช่น สแตนเลส, Inconel, Alloy steel
- อุณหภูมิต่ำมาก (Cryogenic) → ใช้ Stainless, Aluminium ที่ไม่เปราะแตก
- ถ้าใช้พลาสติก ต้องเช็กอุณหภูมิใช้งานสูงสุด (PVC ~60 °C, HDPE ~80 °C)
5.2) ชนิดของสารที่ไหล (Fluid characteristics)
- ของไหลกัดกร่อน (Corrosive fluid):
- กรด ด่าง → ใช้สแตนเลส, พลาสติก (PVC, PP, PTFE)
- น้ำทะเล → แนะนำสแตนเลส 316L หรือ Titanium
- ของไหลหนืด (Viscous fluid):
ต้องใช้ท่อที่ผิวในเรียบและเส้นผ่านศูนย์กลางเหมาะสม เพื่อลดแรงดันตกคร่อม (Pressure drop) - ของไหลมีอนุภาค (Slurry, Solid particle):
ควรใช้ท่อที่ทนการสึกกร่อน เช่น Carbon steel lining, Rubber lining, Ceramic lining
5.3) ความทนทาน และสภาพแวดล้อมต่อการกัดกร่อนและการบำรุงรักษา
หากท่ออยู่ใน สภาพแวดล้อมภายนอก เช่น กลางแจ้ง ชายทะเล ควรเลือกวัสดุที่ทนสนิม หรือเคลือบป้องกัน
- Stainless steel: ทนสนิม ไม่ต้องทาสีบ่อย → ลดค่าบำรุงรักษา
- Carbon steel: ต้องเคลือบสีกันสนิม, Galvanized, หรือทำ lining → ค่า Maintenance สูงกว่า
5.4) ขนาดมิติ (OD/ID/WT) และความคลาดเคลื่อน
OD (Outer Diameter) และ ID (Inner Diameter) กำหนดอัตราการไหล (Flow rate) WT (Wall Thickness) ต้องพอรับแรงดัน
Tolerance (ความคลาดเคลื่อน):
- ท่อทั่วไป เช่น Pipe — ยอมคลาดเคลื่อนได้มาก
- ท่อเครื่องมือ (Instrumentation / Hydraulic tube) — ต้องแม่นยำสูง เพื่อเข้ากับข้อต่อ compression fitting
หากขนาดไม่แม่น อาจทำให้ติดตั้งไม่ได้ รั่ว หรือเกิดปัญหาในระบบ
5.5) วิธีติดตั้งและข้อจำกัดภาคสนาม
- การเชื่อม (Welding): เหมาะกับท่อโลหะ แต่ต้องใช้ช่างฝีมือและตรวจสอบรอยเชื่อม
- เกลียว (Threaded): ง่าย แต่เหมาะกับท่อขนาดเล็ก/แรงดันต่ำ
- บีบอัด (Compression fitting): นิยมในงานไฮดรอลิค/เครื่องมือวัด เพราะป้องกันการรั่วได้ดี
- Flange / Clamp / Push-fit: ใช้ในงานที่ต้องการถอดบำรุงรักษาบ่อย
ข้อจำกัดภาคสนาม: ถ้าพื้นที่แคบ อาจเลือกท่อเบา เช่น Stainless thin wall หรือ Plastic เพื่อติดตั้งง่าย
5.6) มาตรฐานและการทดสอบคุณภาพ
การเลือกท่อควรอ้างอิง มาตรฐานสากล เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัย เช่น
- ASTM (American Society for Testing and Materials) → ASTM A213 (Stainless tube), ASTM A179 (Heat exchanger tube)
- ASME (American Society of Mechanical Engineers) → Boiler & Pressure Vessel Code
- JIS (Japanese Industrial Standards) → นิยมในเอเชีย เช่น JIS G3459 (Stainless tube)
- EN / ISO → มาตรฐานยุโรป
การทดสอบที่ควรมี:
- Hydrostatic / Pneumatic test (ทดสอบแรงดัน)
- Eddy current / Ultrasonic test (ตรวจหาความบกพร่อง)
- PMI (Positive Material Identification) → ตรวจสอบเกรดวัสดุจริง
การเลือกท่อควรดูทั้ง แรงดัน, อุณหภูมิ, ของไหล, วัสดุ, มิติ, วิธีติดตั้ง และมาตรฐาน ไปพร้อมกัน ไม่ใช่ดูแค่ “ราคาถูกที่สุด” เพราะหากเลือกผิดจะมีต้นทุนซ่อมแซมและความเสียหายที่สูงกว่าในระยะยาว
FAQ ยอดนิยม (ตัวอย่าง)
Q: ท่อแบบไหนทนแรงดันสูงสุด?
A: โดยทั่วไป “ท่อไร้รอยเชื่อม (seamless)” จะทนแรงกด/แรงดันได้ดีกว่า แต่ต้องพิจารณาเกรดวัสดุและการทดสอบ
Q: ท่อสแตนเลส vs ท่อคาร์บอน เลือกอย่างไร?
A: ถ้าสารกัดกร่อน/อาหาร/ยา ให้ใช้สแตนเลส ถ้าเน้นรับแรงและงบจำกัด ใช้คาร์บอนแล้วเคลือบป้องกัน
Q: ท่อแลกเปลี่ยนความร้อนต้องระวังอะไร?
A: ความทนต่อการกัดกร่อนจากของไหล/การเหนี่ยวนำความร้อน การทดสอบ UT/Eddy current และ coating/cleanliness จึงสำคัญมากๆ
บทสรุป – รู้จัก “Tube” ให้ครบ มุมมองที่ช่างและวิศวกรต้องเข้าใจ
ท่อ (Tube) เป็นชิ้นส่วนพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลังงานอุตสาหกรรมแทบทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นการลำเลียงของไหล การถ่ายเทความร้อน การสร้างโครงสร้าง หรือแม้แต่ในระบบควบคุมแรงดันที่ต้องการความแม่นยำสูง
สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Tube
- การผลิต: มีทั้งแบบ Seamless (ไร้รอยเชื่อม แข็งแรงกว่า) และ Welded (ราคาประหยัด ผลิตได้เร็วกว่า)
- ประเภทการใช้งาน: ครอบคลุมตั้งแต่ท่อแรงดัน, ท่อแลกเปลี่ยนความร้อน, ท่อเครื่องมือ/ไฮดรอลิก ไปจนถึงท่อโครงสร้าง
- วัสดุ: เลือกใช้ได้หลากหลาย ทั้ง สแตนเลส คาร์บอนสตีล อลูมิเนียม พลาสติก โดยขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน
- ข้อดี–ข้อเสีย: แต่ละแบบมีจุดแข็งและข้อจำกัด เช่น สแตนเลสทนการกัดกร่อนแต่ราคาแพง ส่วนพลาสติกเบาและติดตั้งง่ายแต่ทนแรงดันต่ำกว่า
- การเลือกท่อ: ต้องคำนึงถึงความดัน อุณหภูมิ ชนิดของสารที่ไหล การกัดกร่อน มิติ ความแม่นยำ วิธีติดตั้ง และมาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้อง (ASTM, ASME, JIS, EN)
การเลือกใช้ Tube ที่เหมาะสม ไม่เพียงแต่ช่วยยืดอายุการใช้งาน แต่ยังเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยง และทำให้ระบบอุตสาหกรรมทำงานได้อย่างปลอดภัยและคุ้มค่า ซึ่งถือเป็น “ความรู้ที่ช่างและวิศวกรไม่ควรมองข้าม”
พบกับเทรนด์ล่าสุดของอุตสาหกรรมท่อและสายโลหะ!
ถ้าอยากอัปเดตเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในวงการ ท่อ (Tube), ท่อแลกเปลี่ยนความร้อน, ท่อแรงดัน, สายลวด และอุปกรณ์ต่อเนื่อง ห้ามพลาดงาน
WIRE & TUBE SOUTHEAST ASIA 2025 | GIFA & METEC SOUTHEAST ASIA 2025
📍 ณ ไบเทค บางนา กรุงเทพฯ
GIFA, METEC, Wire และ Tube Southeast Asia ในฐานะแพลตฟอร์มที่ครอบคลุมที่สุดของภูมิภาค สำหรับอุตสาหกรรมลวด สายเคเบิล ท่อ หล่อโลหะ และโลหวิทยา รวบรวมผู้แสดงสินค้ากว่า 400 ราย จาก 25 ประเทศและภูมิภาค
ชวนผู้ประกอบการที่สนใจมาพบกันเพื่อสำรวจนวัตกรรม ขับเคลื่อนธุรกิจ ให้แข็งแกร่งขึ้น โดยโฟกัสพิเศษเกี่ยวกับ แปรรูปสายลวดและสายเคเบิล การขึ้นรูปท่อและการผลิตสินค้าสำเร็จรูป เทคโนโลยีการหล่อและการผลิตชิ้นงานโลหะ การพิมพ์ 3 มิติด้วยโลหะ และยังมีระบบจับคู่ธุรกิจด้วย AI ผ่านแพลตฟอร์มทางการของงาน
งานจัดขึ้นวันที่ 17 – 19 กันยายน 2025 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค
งานนี้ผู้ประกอบการลงทะเบียนเข้าชมงานฟรี
ลงทะเบียนเข้าชมงานฟรี :
www.wire-southeastasia.com | www.tube-southeastasia.com
www.gifa-southeastasia.com | www.metec-southeastasia.com
#นายช่างมาแชร์ #tube #engineering